หลี่ชิเย่ออกจากดินแดนต้นกำเนิดไฟมุ่งหน้าไปยังหุบเขาอมตะ แต่ว่า เขาไปยังไม่ทันถึงหุบเขาอมตะ ก็ได้พบกับนักพรตผู้หนึ่งระหว่างทาง
คนผู้นี้เป็นนักพรตหญิงคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นนักพรตหญิงที่งดงามยิ่งนัก ท่าทางของนักพรตหญิงแลดูราวสามสิบ สวมชุดนักพรตที่กว้างและใหญ่และสะบัดไปตามลม ต่อให้ชุดนักพรตกว้างใหญ่มากไปกว่านี้ก็ไม่สามารถปิดบังส่วนโค้งส่วนเว้าของนางได้ ยามที่ชุดนักพรตสะบัดไปตามลมนั้น มองเห็นส่วนโค้งที่ขึ้นลงไปตามร่องอก เหมือนไข่มุกที่ซ่อนอยู่ในโลกมนุษย์และปรากฏให้เห็นการมีรสนิยมและแฝงไว้ซึ่งความงาม ซึ่งรสนิยมที่แฝงไว้ซึ่งความงามนี้จำเป็นต้องอาศัยผู้คนไปลิ้มลองอย่างละเอียด อีกทั้งเป็นรสนิยมที่ดูไม่รู้จักเบื่อ
นักพรตหญิงมีผมยาวประบ่า มีความสง่างดงามที่บรรยายไม่จบไม่สิ้น มีลักษณะท่าทางที่มีเสน่ห์น่าพิศมัยตามหลักของคัมภีร์เต้าเต๋อจิง ด้วยความเป็นนักพรตหญิงลักษณะเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่ทำให้ดวงตาของผู้คนต้องลุกวาวขึ้นมา
นักพรตหญิงมีรูปหน้าที่กลมดั่งดวงจันทรา นัยน์ตาดั่งดวงดาว คิ้วดั่งต้นหลิว แม้ไม่อาจบอกว่ารูปโฉมของนางนั้นงดงามจนน่าทึ่ง แต่กลับทำให้ผู้คนมองดูไม่รู้จักเบื่อ ความงดงามของนางจัดอยู่ในประเภทของความงามที่จำเป็นต้องค่อยๆ ลิ้มลอง ทุกครั้งที่มองดูนางก็จะพานพบความงดงามที่แตกต่างกันออกไป
พลันที่นักพรตหญิงผู้นี้มองเห็นหลี่ชิเย่ก็คำนับ พนมมือระหว่างอก และกล่าวว่า “หวูเลี่ยงเทียนจุน สาธุ สาธุ”
เมื่อหลี่ชิเย่มองเห็นนักพรตหญิงคำนับถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา และพนมมือเช่นกันพร้อมกับกล่าวว่า “พุทธองค์ทรงเมตตา สาธุ สาธุ”
ถ้าหากมีบุคคลที่สามอยู่ด้วยในเหตุการณ์ จะต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมากับคำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ พุทธและเต๋าเป็นอริมาแต่เดิมอยู่แล้ว และหลี่ชิเย่เองก็หาใช่ศิษย์ของศาสนาพุทธ แต่กลับแสดงออกตามธรรมเนียมของพุทธ มิใช่เป็นการกระทำที่จงใจหาเรื่องรึ?
อย่างไรก็ตาม นักพรตหญิงผู้นี้กลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ท่าทางของนางยังคงดั่งเมฆาและสายน้ำ ใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้ม และกล่าวว่า “ประสก ข้ากับท่านมีวาสนาต่อกัน” ยามที่นักพรตหญิงที่งดงามผู้หนึ่งใบหน้าแฝงไว้ซึ่งรอยยิ้มนั้น เสมือนดั่งเป็นพื้นปฐพีกลับคืนสู่วสันตฤดูอีกครั้ง ทำให้หัวใจของผู้คนต้องหลอมละลาย
หลี่ชิเย่ก็ยิ้มกล่าวว่า “ท่านนักพรต พวกเรามีวาสนาต่อกันจริงๆ ข้ากับท่านนักพรตใช่สมควรทำให้มันกลายเป็นโชควาสนาเสียล่ะ”
“ทำไมจะไม่ได้เล่า” นักพรตหญิงใบหน้าแฝงรอยยิ้ม อ่อนหวานละมุนละไม เป็นที่ชุ่มชื่นจิตใจของผู้คน เป็นความรู้สึกที่สุขสบายอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกได้ว่าบุคคลผู้นี้มีความใกล้ชิดยิ่งนัก
“เช่นนั้นแล้วข้าขอบิณทบาตรภรรยากลับบ้านสักคนก็แล้วกัน ท่านนักพรตมาเป็นคู่รักบำเพ็ญเพียรด้วยกันจะเป็นไร?” หลี่ชิเย่พนมมือและกล่าวยิ้มแต้ขึ้นมา
คำพูดที่เหนือความคาดคิดเช่นนี้ หากให้ผู้อื่นได้ยินเข้า ต้องเข้าใจว่าหลี่ชิเย่คงเสียสติไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนักพรตหญิงที่อยู่ตรงหน้านั้นมีประวัติความเป็นมาที่น่าตกใจ และมีฐานะที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง ถึงกับมีผู้ที่หาญกล้าพูดจาเช่นนี้กับนาง คงไม่ต้องการมีชีวิตอยู่แล้วล่ะ
“ประสกออกจะรีบร้อนเกินไปแล้ว” นักพรตหญิงก็ไม่ได้แสดงความโกรธ พูดออกมาด้วยใบหน้าที่แฝงด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้อง ท่านพูดได้ถูกต้องแล้ว ข้าคือคนที่ทำอะไรรีบร้อนนั่นแหละ” หลี่ชิเย่หัวเราะและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ในเมื่อท่านนักพรตก็พูดออกมาแล้วว่าท่านกับข้ามีวาสนาต่อกัน ภาษิตกล่าวไว้ว่า มีวาสนาต่อกันแม้ห่างกันพันลี้ก็ยังเชื่อมถึงกันได้ ไหนๆ ก็มีวาสนาต่อกันแล้ว ใยจะต้องไปคร่ำครึกับเรื่องเช่นนี้กันเล่า ท่านนักพรต กลับบ้านด้วยกันเถอะ ข้ากำลังขาดภรรยาอยู่คนหนึ่งพอดี”
“เหตุใดจะต้องให้อาตมาตามประสกกลับไปให้ได้ ใยประสกไม่ติดตามอาตมากลับไปเล่า” นักพรตหญิงกะพริบตาทีหนึ่ง ดวงตาที่ดั่งน้ำที่ใสสะอาดนั้นเหมือนพูดได้ ยามที่นางกะพริบตานั้นเปี่ยมด้วยความสง่างามที่สุดจะบรรยายได้สิ้น
นักพรตหญิงกล่าวด้วยอารมณ์ขันอย่างยิ่งว่า “ประสกก็ใช่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา คงไม่หมายความว่าจะต้องให้ปรับตัวตามให้ได้กระมัง มิสู้ประสกติดตามข้ากลับไปยังหุบเขาอมตะจะเป็นเช่นใด?”
“ติดตามท่านไปที่หุบเขาอมตะนะเนี่ย” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา เอามือลูบคางทีหนึ่งจ้องมองนักพรตหญิงตรงหน้าผู้นี้อย่างลึกซึ้ง
ขณะที่นักพรตหญิงที่อยู่ตรงหน้าก็รับกับสายตาของหลี่ชิเย่อย่างไม่สะทกสะท้าน นัยน์ตาที่ใสดั่งน้ำของนางเปี่ยมด้วยความฉลาดเฉียบแหลมและมีสายตาที่ยาวไกล สูงส่งและงดงาม
“นับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวนัก” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าตามท่านกลับไปยังหุบเขาอมตะจะได้รับประโยชน์อย่างไร? หุบเขาอมตะของท่านมีสาวงามหรือไม่ล่ะ?”
“หุบเขาอมตะของข้ามีสาวงามมากดั่งดอกเห็ด ประสกไปถึงเรียกได้ว่าได้รับความสนิทสนมรักใคร่ดั่ง ดาวล้อมเดือน มีความอิสระเสรีอย่างยิ่ง” นักพรตหญิงยิ้มกล่าวติดตลกยิ่งออกมา
ถ้าหากมีบุคคลที่สามอยู่ในเหตุการณ์ด้วยล่ะก็ พลันที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วจะต้องตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ต้องอ้าปากตาค้างกับคำพูดของนักพรตหญิงอย่างแน่นอน เนื่องจากฐานะของนักพรตหญิงที่อยู่ตรงหน้าไม่ธรรมดา คำพูดลักษณะเช่นนี้ไม่เหมือนออกจากปากของนาง เหมือนเป็นคำพูดของแม่เล้าที่หออี้หงพูดเวลาเชียร์แขกอย่างนั้น
“คำพูดของท่านนักพรตทำเอาข้าถึงกับใจเต้นตุมตาม ดูท่าข้ากับท่านนักพรตนับว่ามีวาสนาต่อกันจริงๆ นะเนี่ย มีวาสนาต่อกันนะเนี่ย” หลี่ชิเย่พนมมือและยิ้มกล่าวว่า “นี่นับว่าอุดมการณ์ต่างกัน ก็อย่าได้คบกันเลยจริงๆ ข้า หลี่ชิเย่ชื่นชอบคนเช่นนี้แหละ”
“สาธุ สาธุ” นักพรตหญิงคำนับอีกครั้ง พนมมือและกล่าวว่า “อาตมานักพรตฉางเซิน ที่ประสกกล่าวมานั้นถูกต้องยิ่ง ท่านกับข้านับว่ามีวาสนาจริงๆ หากไม่มีวาสนาแล้ว ไหนเลยจะพบกันท่ามกล่างผู้คนมากมายได้”
ถ้าหากมีบุคคลที่สามอยู่ในเหตุการณ์แล้วได้ยินฉายานักพรตฉางเซินจะต้องตกอกตกใจเป็นอย่างยิ่ง นักพรตฉางเซินคือเจ้าหุบเขาของหุบเขาอมตะ และคือผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะคนปัจจุบัน
ลองนึกภาพดู ผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดตวามคิดทางด้านลัทธิๆ หนึ่งจะดำรงอยู่ในฐานะที่สูงส่งเพียงใด อีกทั้งนักพรตฉางเซินนั้นคือหนึ่งในสองนักพรตยิ่งใหญ่ของแดนลัทธิพรรษในปัจจุบัน
สมควรทราบว่า ในฐานะผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ฐานะของนักพรตฉางเซินใช่ว่ากษัตริย์ของระบบถ่ายทอดตวามคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงสามารถเทียบเคียงได้ จะอย่างไรเสีย ระบบถ่ายทอดตวามคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงได้เสื่อมลงแล้ว
นักพรตฉางเซินในฐานะผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ในฐานะหนึ่งในสองนักพรตยิ่งใหญ่แห่งแดนลัทธิพรรษ นางมีชื่อชั้นเสมอด้วยนักพรตพเนจรหยางหมิงแห่งพรรคหยางหมิง ทักษะยุทธของนางลึกล้ำยากจะหยั่งถึง ไม่มีใครรู้ถึงรายละเอียดเกี่ยวกับทักษะยุทธของนาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...