หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ฟ่านเมี่ยวเจินได้เงยหน้าขึ้นมองหลี่ชิเย่ด้วยสายตาที่จริงจังอย่างยิ่ง
“ถ้าหาก ถ้าหากเกิดเรื่องกับอาจารย์ ท่าน ท่านจะขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าหูบเขาหรือไม่?” ขณะฟ่านเมี่ยวเจินพูดมาถึงตรงนี้ถึงกับลังเลนิดหนึ่ง
แม้ว่าภายในใจของฟ่านเมี่ยวเจินกระหายให้อาจารย์ปลอดภัย แต่ นางจะต้องเตรียมความพร้อมหากเกิดเรื่องขึ้น นางจะต้องมองการณ์ไกลมากกว่านี้ หากเกิดเรื่องขึ้นกับอาจารย์กต้องมีผู้ที่มาสืบทอดตำแหน่งนี้ ตามหลักการแล้ว ตำแหน่งเจ้าหุบเขาจะเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งเป็นผู้สืบทอด ซึ่งก็คือหลี่ชิเย่
“วางใจเถอะ นักพรตฉางเซินจะต้องปลอดภัยอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวปลอบใจนาง
“ข้าหมายถึงถ้าหาก” ฟ่านเมี่ยวเจินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ท่าทีหนักแน่จริงจัง นี่แหละคือข้อแตกต่างระหว่างฟ่านเมี่ยวเจิน กับฉินซาวเย่าและมู่หย่าหลัน ทั้งฉินซาวเย่าและมู่หย่าหลันต่างใจจดใจจ่ออยู่กับอาณาจักรของตนเอง มุ่งมั่นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ขณะที่ฟ่านเมี่ยวเจินนางมองได้ไกลกว่า ดังนั้น นางจึงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพวกนาง
“ต่อให้มีถ้าหากขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่เห็นจะถึงตาข้าที่ต้องไปเป็น” หลี่ชิเย่หัวเราะและมองไปยังที่ๆ ห่างไกล แน่นอนเขาไม่ได้อยากได้ตำแหน่งเจ้าหุบเขาเช่นนี้ของหุบเขาอมตะ
“ถ้าหากท่านเป็นได้ล่ะ?” ฟ่านเมี่ยวเจินดูจริงจังมาก จ้องมองหลี่ชิเย่ไม่กะพริบตา
“นังหนู ความคิดเช่นนี้ของเจ้าไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องดี” หลี่ชิเย่ดีดจมูกโด่งน้อยๆ ของนางทีหนึ่งและกล่าวเฉยเมยว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ถูกๆ อย่างข้า เพิ่งมาถึงหุบเขาอมตะพวกเจ้าได้ไม่นาน หากว่าเจ้าคิดฝากความหวังกับข้าจริงๆ ล่ะก็ นั่นมันไม่ใช่ความหวังเสมอไป ไม่แน่นักอาจเป็นหุบเขาลึกหมื่นจ้าง ก็เหมือนกับที่ข้าได้พูดเอาไว้ก่อนหน้า ไม่แน่นัก เจ้าจะเป็นการมอบระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะให้กับมารร้ายคนหนึ่งก็เป็นได้”
“ทุกเรื่องราวล้วนมีความเป็นไปได้” ฟ่านเมี่ยวเจินจ้องมองหลี่ชิเย่จริงจังและไม่สะทกสะท้าน กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “แต่ ข้าเชื่อในสายตาของอาจารย์มากกว่า และเชื่อท่านมากกว่า ข้าเชื่อว่าสิ่งนี้ไม่ผิดแน่นอน”
หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มเฉยเมยขณะมองดูท่าทางที่จริงจังของฟ่านเมี่ยวเจิน และกล่าวว่า “วางใจเถอะ มีเรื่องที่คึกครื้นเช่นนั้นแล้วข้าไม่ไปร่วมสักหน่อย ไม่ไปเข่นฆ่าครั้งใหญ่ล่ะก็ แล้วมันจะมีความหมายอะไรเล่า”
ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่เท่ากับได้ให้คำมั่นบางอย่างกับฟ่านเมี่ยวเจินแล้ว
“เช่นนั้นก็ดี” ฟ่านเมี่ยวเจินมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ดูงดงามน่าประทับใจอะไรเช่นนั้น ช่างชวนให้หลงใหลอะไรอย่างนั้น แม้จะกล่าวว่าหลี่ชิเย่ นั้นคือศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะ แต่ลางสังหรณ์บอกกับนางเองว่า หลี่ชิเย่ไม่ได้ใส่ใจในฐานะความเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะ แม้ว่าเขาจะรั้งอยู่ที่หุบเขาอมตะ แต่เขาเหมือนเป็นแขกที่เดินทางผ่านมามากกว่า เป็นไปได้ว่าพร้อมที่จะไปจากหุบเขาอมตะได้ทุกเมื่อ
แต่ว่า หลี่ชิเย่ได้พูดคำพูดลักษณะเช่นนี้ออกมาในเวลานี้ย่อมแตกต่างกันแล้ว ทำให้ฟ่านเมี่ยวเจินฝากความหวังไว้กับหลี่ชิเย่เป็นอันมาก
“อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเซ่นไหว้เรือนโอสถ หุบเขาอมตะของพวกเราเป็นผู้จัดงานนี้มาโดยตลอด”
“มาคราวนี้เดิมอาจารย์เป็นผู้ดำเนินการจัด แต่เวลานี้อาจารย์ไม่สามารถมาด้วยตนเอง ข้าได้แต่ไปพร้อมกับศิษย์พี่ศิษย์น้อง บรรดาเรื่องจิปาถะต่างๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าและเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องไปจัดการก็พอ แต่ด้านสถานการณ์โดยรวมยังคงต้องอาศัยศิษย์พี่ใหญ่มาดำเนินการ และจำเป็นต้องอาศัยศิษย์พี่ใหญ่เช่นท่านมานั่งคุมสถานการณ์เช่นนี้” ฟ่านเมี่ยวเจินเผยรอยยิ้มออกมาท่าทีดูลิงโลดยิ่งนัก
“พูดไปครึ่งค่อนวัน ยังคงให้ข้าเป็นผู้เสียสละ” หลี่ชิเย่ตบเข้าให้ที่ก้นของนางอย่างแรง และกล่าวว่า “คราวหน้าหากยังคงอวดฉลาดต่อหน้าข้าอีก จะไม่มีจุดจบที่ดีนัก”
ฟ่านเมี่ยวเจินรีบกระโดดหนี ใบหน้าแดงก่ำ ค้อนขวับเข้าให้ทีหนึ่ง ส่งเสียงเชอะและกล่าวว่า “ไอ้บ้ากาม!”
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมยเท่านั้นเอง
ฟ่านเมี่ยวเจินกล่าวขึ้นมาว่า “เกรงว่าบรรดาบรรพบุรุษทั้งหลายคงไปจากหุบเขาอมตะไม่ได้ หากเป็นสถานการณ์ทั่วไป ข้ากับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องและผู้อาวุโสยังสามารถรับมือได้ แต่ เกรงว่าแคว้นว่านโซ่วจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ดังนั้นยังคงต้องการให้ศิษย์พี่ใหญ่มาเป็นผู้ดำเนินการในสถานการณ์โดยรวม”
“เอาเถอะ ข้ารู้แล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวไปตามอารมณ์ “ไหนๆ ก็ได้เข่นฆ่าครั้งใหญ่ไปแล้ว ก็ทำให้มันเด็ดขาดไปหน่อยก็แล้วกัน ถือโอกาสจัดการให้มันสิ้นซากไปเลย”
หลี่ชิเย่พูดเสียเอ้อละเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนว่าที่เขาทำลายทิ้งนั้นเป็นเพียงรังมดรังหนึ่งเท่านั้น ไม่เหมือนสำนักขนาดใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง
คำพูดที่เปี่ยมด้วยความพาลเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ทำให้ฟ่านเมี่ยวเจินอุ่นใจมากขึ้น ทำให้นางมีความมั่นใจกับการเซ่นไหว้ครั้งนี้มากขึ้น ไม่ต้องเกรงว่าแคว้นว่านโซ่วจะมาขัดขวาง
วันเซ่นไหว้มาถึงเร็วมาก ฟ่านเมี่ยวเจินได้พาฉินซาวเย่า และมู่หย่าหลันออกเดินทางไปยังเรือนโอสถ แน่นอนหลี่ชิเย่ก็ติดตามไปด้วย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พิธีเซ่นไหว้ที่เป็นงานใหญ่เช่นนี้ล้วนแล้วแต่ดำเนินการโดยรุ่นอาวุโสของหุบเขาอมตะ แต่มาคราวนี้เรียกได้ว่าฟ่านเมี่ยวเจินได้รับบัญชากะทันหัน ให้แบกรับภาระหน้าที่อันหนักหน่วงเช่นนี้
เนื่องจากความเป็นความตายของนักพรตฉางเซินไม่ชัดเจน โดยมีบรรดาบรรพบุรุษของหุบเขาอมตะให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน! อีกทั้งยังได้เกิดเหตุการณ์มาสู่ขอของแคว้นว่านโซ่ว ทำให้หุบเขาอมตะระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่ ในเวลานี้หุบเขาอมตะเองก็เป็นกังวลว่าแคว้นว่านโซ่วจะฉวยโอกาสนี้บุกโจมตีหุบเขาอมตะ
ถ้าหากว่า เวลานี้หุบเขาอมตะยังคงส่งบรรพบุรุษที่ยังเหลืออยู่ไปเรือนโอสถเพื่อประกอบพิธีเซ่นไหว้ เช่นนั้นเท่ากับหุบเขาอมตะไม่มีการป้องกัน ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่อ่อนแอมากที่สุด ทำให้หุบเขาอมตะอาจถูกข้าศึกตีแตกได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...