“พรรคมารก็คือพรรคมาร ไหนเลยมีข้ออ้างมากมาย!” กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วกล่าวตัดบทคำพูดของตันหวังฟงเซี่ยวเฉิน ตวาดเสียงดังว่า “ธรรมะกับอธรรมไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ พรรคมารคือนอกรีต ทุกคนสามารถสังหารได้ ยิ่งไปกว่านั้นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจะไม่ไปร่วมก่อกรรมทำชั่วกับพรรคมาร”
“สวะ” ฟงเซี่ยวเฉินตำหนิเสียงเย็นชาว่า “เจ้ามีความสามารถอะไร ลำพังอาศัยกำลังคนเดียวกล้าปฏิเสธขอตกลงของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิทั้งหมดในแดนลัทธิพรรษกับระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง เจ้าคิดจะล้มข้อตกลงฉบับนี้ก็ต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากพรรคหยางหมิง และจูเซียงหวู่ถิงกับบรรดาเหล่าระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิทั้งหมดเสียก่อน”
“เจ้า…” สีหน้าของกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วพลันแดงก่ำเมื่อถูกฟงเซี่ยวเฉินกล่าวตำหนิ ถึงกับพาลโกรธขึ้นมาเนื่องจากความละอายและขุ่นเคือง ร้องเสียงดังออกมาว่า “ฟงเซี่ยวเฉิน เจ้า เจ้า เจ้าอย่าได้เถียงข้างๆ คูๆ!”
“มีเพียงสวะอย่างเจ้าเท่านั้นที่เถียงข้างๆ คูๆ” ฟงเซี่ยวเฉินกล่าวเฉยเมยว่า “เรื่องใหญ่เช่นนี้ไหนเลยปล่อยให้เจ้าพูดจามั่วซั่วได้ ผู้พเนจรและพวกเขาต่างก็อยู่กันพร้อมหน้าที่ตรงนี้ เรื่องเช่นนี้ไหนเลยให้เจ้าพูดแล้วคนอื่นต้องทำตาม”
สีหน้าของกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วยิ่งดูไม่จืดเข้าไปใหญ่ เมื่อถูกฟงเซี่ยวเฉินกล่าวตำหนิเช่นนี้ เขาถึงกับมองหน้าพวกของผู้พเนจรหยางหมิงทีหนึ่ง
เวลานี้ผู้พเนจรหยางหมิงมองดูหลี่ชิเย่อย่างระมัดระวังทีหนึ่ง เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจในตัวของคุณชายหลี่ ด้วยทัศนคติท่าทีที่ระมัดระวังรอบคอบ แต่ว่า บรรดาบรรพบุรุษของกองทัพพันธมิตรในวันนั้นได้เป็นตัวแทนของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนมากร่วมลงนามในสัญญาต่ออายุข้อตกลงในครั้งกระนั้น ดังนั้น จึงเป็นการบ่งชี้ว่าเห็นด้วยกับฐานะของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงในวันนี้ และถือว่าได้ทำการกวาดล้างอันตรายจากกระแสดูดเลือดที่รุนแรงได้จบสิ้นแล้ว…”
“…สำหรับข้อตกลงในครั้งนั้น เป็นการทบทวนอย่างรอบคอบโดยระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนมากกับซิวหลอจ้านเทียนแล้วกำหนดขึ้นมา ดังนั้น บรรดาระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนมากต่างก็ไม่มีความเห็นเป็นอื่น” คำพูดลักษณะเช่นนี้ของผู้พเนจรหยางหมิงดูเป็นทางการอย่างยิ่ง การเรียบเรียงคำพูดก็ระมัดระวังรอบคอบยิ่งนัก แต่ทว่า อย่างน้อยก็เป็นตัวแทนของท่าทีที่เป็นทางการอย่างหนึ่ง
ไม่ว่าผู้พเนจรหยางหมิงจะมองหลี่ชิเย่อย่างไรก็ตาม และไม่ว่าทุกคนจะอคติอย่างไรต่อหลี่ชิเย่ก็ตาม แต่ว่า ในครั้งนั้นนักบวชหยางหมิงและบรรดาบรรพบุรุษทั้งหลายได้เป็นตัวแทนของกองทัพพันธมิตรให้มีการปฏิบัติตามสัญญาฉบับเดิมต่อไป สิ่งนี้ย่อมบ่งบอกว่าบรรดาระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิในแดนลัทธิพรรษทั้งหมดยังคงให้การยอมรับข้อตกลงที่มีการลงนามกับซิวหลอจ้านเทียน และยอมรับในฐานะของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง ไม่ใช่พรรคมารที่ถือเอกสิทธิ์ครอบครองโดยเทพแท้จริงเทียนเต๋อในครั้งนั้น
ฐานะของผู้พเนจรหยางหมิงนับว่าสูงส่งและมากด้วยอำนาจ นางคือเจ้าสำนักของพรรคหยางหมิง คำพูดของนางก็คือท่าทีของพรรคหยางหมิง พรรคหยางหมิงถือเป็นพรรคอันดับหนึ่งของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง เมื่อนางยังพูดออกมาเช่นนี้ สำหรับระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิอื่นๆ ก็ปฏิบัติตามข้อตกลงเช่นนี้
เมื่อผู้พเนจรหยางหมิงแสดงท่าทีออกมาเช่นนี้ พลันทำให้กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วมีสีหน้าที่แดงก่ำ สุดท้ายสีหน้าแทบจะกลายเป็นแดงคล้ำไปแล้ว เนื่องจากเวลานี้เขาไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของผู้พเนจรหยางหมิงได้ มิฉะนั้นล่ะก็เท่ากับเขาปฏิเสธท่าทีของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิทั้งหมดที่อยู่ในแดนลัทธิพรรษ มันคือการแตกหักกับระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิทั้งหมดในแดนลัทธิพรรษชัดๆ
เขายังไม่ทันยืนได้อย่างมั่นคง แล้วจะให้เขาแตกหักกับบรรดาระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิต่างๆ ในแดนลัทธิพรรษได้อย่างไรเล่า ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาคิดชิงอำนาจ ต้องการปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ยังจำเป็นต้องอาศัยพรรคหยางหมิงของพวกเขามาให้การรับรองฐานะอันชอบธรรมของแคว้นว่านโซ่ว
“แคว้นว่านโซ่วแค่แคว้นๆ หนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเท่านั้นเอง ยังไม่มีสิทธิ์ไปแสดงท่าทีในเรื่องใหญ่แทนระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะได้” ฟงเซี่ยวเฉินไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย คำพูดลักษณะเช่นนี้คล้ายเป็นการตบหน้าของกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วอย่างแรง
แม้ว่าพวกของผู้พเนจรหยางหมิงไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ย่อมไม่เป็นที่สงสัยว่า การที่พวกเขาไม่พูดอะไรออกมาย่อมบ่งบอกว่าแคว้นว่านโซ่วยังไม่มีสิทธิ์ที่จะคัดค้านในเรื่องนี้ได้ อย่างน้อยที่สุดเขายังทำเช่นนี้ไม่ได้ หากคิดจะเป็นตัวแทนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ
“ถึง ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ตาม แต่ว่า คนของพรรคมารมีเจตนาแท้จริงยากแก่การหยั่งรู้ เขาแฝงตัวเข้ามาเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะมีแผนร้าย ต้องการทำร้ายระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะพวกเราอย่างแน่นอน ขณะที่ฟงเซี่ยวเฉินเจ้า รู้ทั้งรู้ว่าเขาเป็นศิษย์ของพรรคมารแต่ปิดบังไม่ยอมเปิดเผย แสดงว่ามีจุดประสงค์จะทำร้ายระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ทำร้ายรากฐานเป็นหมื่นยุคของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ โทษไม่อาจอภัย” กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วพูดเสียงดังขึ้นมา
บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจากสำนักต่างๆ จำนวนมากของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้ากันและกัน ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นใดดี
“ในเมื่อท่านนักพรตกล้าให้คุณชายหลี่เป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งย่อมต้องมีเหตุผลของนาง” ฟงเซี่ยวเฉินกล่าวน่าเกรงขามว่า “เรื่องของหุบเขาอมตะ เรื่องของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะให้แคว้นว่านโซ่วของพวกเจ้าพูดแล้วคนอื่นจะต้องทำตามตั้งแต่เมื่อไหร่? แคว้นว่านโซ่วของพวกเจ้ายังไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวก่าย!”
“ในฐานะที่เป็นศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ทุกคนย่อมมีหน้าที่ในความปลอดภัยของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ทุกเรื่องราวของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก็คือเรื่องของพวกเรา…” กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมาทันที เด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผาย
“พอแล้ว” ขณะที่กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วกำลังแสดงท่าทีที่เด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผายนั้น หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ ตัดบทคำพูดของเขาและยิ้มกล่าวว่า “คำพูดที่ฟังดูเหมือนสง่าผ่าเผยแต่ความจริงไม่ใช่ เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องพูดอีกแล้ว เปลืองน้ำลาย หยาบคาย”
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ใบหน้าแฝงรอยยิ้ม มองดูทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ช้าๆ และกล่าวว่า “ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงก็ดี พรรคมารก็ช่าง ข้าก็คือข้า ข้าก็คือหลี่ชิเย่ พวกเจ้าจะรู้สึกว่าข้าเป็นจอมมารก็ได้ คิดว่าข้าเป็นคนบ้าก็ได้ ข้าจะเป็นอะไรไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเห็นด้วย เหตุผลของข้าง่ายมาก ใครขวางข้า ฆ่าไม่มีละเว้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม! แม้แต่สวรรค์ หรือโอรสราชันก็ไม่ต่างกัน”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่พลันทำให้บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มองหน้ากันและกัน ง่ายๆ และรุนแรง คนอื่นว่าเขาเป็นพรรคมารเขากลับมีท่าทีที่อย่างไรก็ได้โดยสิ้นเชิง เปี่ยมด้วยความพาลยิ่ง
“วาจาสามหาวมาก!” กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วหัวเราะเสียงดังทันที และส่งเสียงดังขึ้นมาว่า “ต่อให้เป็นแดนลัทธิพรรษขวางอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าก็จะฆ่าไม่มีละเว้นรึ? เจ้าต้องการเป็นศัตรูกับแดนลัทธิพรรษทั้งหมดรึ?”
ย่อมไม่ต้องสงสัย คำพูดของกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วมีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่ นั่นคือต้องการลากเอาหลี่ชิเย่ไปเป็นศัตรูกับแดนลัทธิพรรษ
“แค่แดนลัทธิพรรษเท่านั้นเอง ไหนเลยคู่ควรจะกล่าวถึงเล่า?” หลี่ชิเย่ไม่ได้เลิกกระทั่งหนังตาด้วยซ้ำ กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ต่อให้เป็นแดนสามเซียนเข้ามาขวางหน้าข้า ก็จะฆ่าไม่มีละเว้นเช่นกัน! ในโลกนี้ ใยจะต้องกลัวเป็นศัตรูกับใคร!”
คำพูดที่อันธพาลปราศจากผู้เทียบเทียม ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต้องใจหายใจคว่ำ แม้แต่ผู้พเนจรหยางหมิงยังถึงกับจ้องมองหลี่ชิเย่อย่างไม่ละสายตา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...