เวลานี้ทุกคนต่างมองไปที่ฝานกุ้ยซิน ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการรู้ว่าเขาจะทำอย่างไร จะอย่างไรเสีย ความดุดันและถืออำนาจบาตรใหญ่ของหลี่ชิเย่นั้น ทุกคนต่างประจักษ์มาแล้ว เขาคือคนที่หมางเมินทั่วหล้าคนหนึ่งนั่นแหละ
“ท่าน พอแล้วนะ…” เวลานี้ฝานกุ้ยซินได้กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “อภัยได้ก็จงอภัย อย่าได้ฆ่าแบบไม่ให้เหลือ!”
“เจ้าเป็นตัวอะไร?” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีที่เบื่อหน่ายสำหรับคำพูดของฝานกุ้ยซิน และยังคงเดินเข้าหาโจวจื้อคุนไม่ช้าและไม่เร็ว
สีหน้าของฝานกุ้ยซินถึงกับแปรเปลี่ยนไป นับตั้งแต่เขาติดตามนายของเขามาถึงแดนลัทธิพรรษเรียกได้ว่าอยู่ในฐานะสูงเด่น มีใครบ้างในแดนลัทธิพรรษที่ไม่ให้เกียรติเขาสามส่วน สมควรทราบว่าตระกูลมู่ของพวกเขาคือหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่แห่งแดนลัทธิราชัน ใครหาญกล้าไม่ให้เกียรติต่อตระกูลมู่ของพวกเขา
ในแดนลัทธิพรรษ อย่าว่าแต่ระดับผู้อาวุโสของสำนักเจ้าลัทธิที่เป็นบุคคลไร้อันดับ ต่อให้เป็นระดับบรรพบุรุษ หรือกระทั่งเป็นเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ก็ต้องให้เกียรติแก่ฝานกุ้ยซิน แม้ว่าเขาเป็นแค่ระดับเทพแท้จริงธรรมดายังไม่ถึงขั้นก้าวขึ้นสู่สวรรค์ แต่ทว่า บรรดาบรรพบุรุษที่อยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ล้วนแล้วแต่ต้องเรียกเขาว่าพี่ฝาน
แล้วเป็นอย่างไรล่ะตอนนี้ เฉกเช่นหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงผู้เยาว์คนหนึ่งเท่านั้นกลับกล้ายกตนข่มท่าน พูดคำพูดลักษณะเช่นนี้ออกมาต่อหน้าสาธารณะชนทั่วหล้า มันคือการตบหน้าเขาฉาดหนึ่งชัดๆ
“ข้าคือศิษย์ของตระกูลมู่ ภักดีต่อตระกูลมู่มาหลายพันปี” ฝานกุ้ยซินกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าเคยรับใช้บรรพบุรุษของตระกูลมู่ เคยเรียนหนังสือเป็นเพื่อนกับเจ้าบ้าน…”
คำพูดที่เย็นชาเช่นนี้ของฝานกุ้ยซินชัดเจนที่สุดแล้ว เป็นการแสดงถึงฐานะที่สูงส่งของเขา แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงคนรับใช่แก่ๆ คนหนึ่งของตระกูลมู่ แต่ได้รับใช้มาหลายรุ่น มีความซื่อสัตย์ภักดี และตระกูลมู่เองก็ได้มอบฐานะที่สูงส่งให้กับเขา
ไม่ว่าใครในแดนลัทธิพรรษก็ตาม ต้องรู้สึกเย็นวาบในใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของฝานกุ้ยซิน เขาไม่ได้เหมือนดั่งโจวจื้อคุนที่เป็นประเภทสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือสามารถมาเทียบเคียงได้ เขาคือผู้ที่มีฐานะสูงส่งในตระกูลมู่อย่างแท้จริง เขาเป็นผู้ที่สามารถเสนอความเห็นต่อหน้าเจ้าบ้านตระกูลมู่ได้
“ตระกูลมู่เป็นตัวอะไร” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ยังคงมีท่าทีที่ตามอารมณ์ ถือกระบี่ไม้ไผ่ไล่ตามโจวจื้อคุนไปไม่ช้าและไม่เร็ว
โจวจื้อคุนถูกทำให้ตกใจจนสติแตก วิ่งหนีพลางหันกลับไปมองหลี่ชิเย่พลาง เขาอยากจะหนีไปให้ไกลจากมารร้ายคนนี้ให้ไกลที่สุดให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ยิ่งไกลยิ่งดี
‘ตระกูลมู่คือตัวอะไร’ สีหน้าของฝานกุ้ยซินดูไม่จืดถึงขีดสุดเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ในเวลานี้ดวงตาคู่นั้นของเขาถึงกับพ่นเป็นไฟแห่งความโกรธออกมา
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่เสียวสันหลังวาบ ต่อให้ภายในใจของผู้คนจำนวนมากไม่สบอารมณ์กับนายน้อยมู่ แต่ว่า ไม่มีใครกล้าบอกว่า ‘ตระกูลมู่เป็นตัวอะไร’ ออกมาอย่างเปิดเผย นี่มันคือหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ของแดนลัทธิราชันเชียวนะ ถ้าหากทำให้ตระกูลมู่โกรธขึ้นมาล่ะก็ มันคือเรื่องที่น่าสยองขวัญอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง กระทั่งอาจนำมาซึ่งความล่มสลายให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตน
“ผู้เยาว์ อาศัยคำพูดนี้ของเจ้าเพียงพอที่จะฆ่าล้างเจ้าเก้าชั่วโคตร!” ฝานกุ้ยซินกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา
“อ๋อ อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่ที่มีท่าทีเบื่อหน่ายและกล่าวว่า “ถ้าหากตระกูลมู่รู้จักกาลเทศะก็ให้ไสหัวไปให้ไกลๆ หน่อย มิฉะนั้นล่ะก็หากกล้าเป็นศัตรูกับข้า ข้าจะทำลายล้างตระกูลมู่พวกเจ้า!”
นี่ นี่ นี่มันกำแหงจนไร้ขอบเขต…ทุกคนต่างอ้าปากตาค้างเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับพูดอะไรไม่ออก
หาญกล้าบอกว่าจะทำลายล้างตระกูลมู่เสียต่อหน้าผู้คนทั่วหล้า นี่มันเสียสติไปแล้วชัดๆ ต่อให้เป็นราชันแท้จริงก็ไม่กล้าบอกว่าจะทำลายตระกูลมู่ จะอย่างไรเสียตระกูลมู่ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ของแดนลัทธิราชัน ธาตุแท้ภายในลึกล้ำยากจะหยั่งถึง
“หนูน้อยโง่เขลา อาศัยเจ้าน่ะหรือ? ที่จะทำลายล้างตระกูลมู่?” ฝานกุ้ยซินหัวเราะเสียงดัง กล่าวน่าครั่นคร้ามขึ้นมาว่า “ผู้เยาว์ เจ้าตายแน่นอนแล้ว อีกทั้งตระกูลมู่จะต้องสังหารเจ้าเก้าชั่วโคตร”
“คำพูดแบบนี้ข้าฟังจนเบื่อแล้ว” หลี่ชิเย่หัวเราะเอามือแคะหูทีหนึ่ง กล่าวเอ้อระเหยขึ้นมาว่า “ผู้ที่ร้องเอะอะว่าจะสังหารข้าเก้าชั่วโคตรนั้น ภายหลังล้วนแล้วแต่ถูกข้าทำลายล้างพวกเขาเก้าชั่วโคตรทั้งนั้น”
เวลานี้ทุกคนล้วนแล้วแต่กลั้นลมหายใจเอาไว้และจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ ทุกคนต่างรู้สึกว่าเจ้าหมอนี้นับว่าบ้าบิ่นเหลือเกิน มันคือคนเสียสติชัดๆ แต่ว่า ไม่ว่าเขาจะเสียสติหรือไม่ก็ตาม ลำพังความกล้าหาญที่กล้าท้าทายต่อตระกูลมู่โดยตัวคนเดียวก็ทำให้ผู้คนต้องเลื่อมใส ใครบ้างในแดนลัทธิพรรษที่กล้าส่งเสียงท้าทายต่อตระกูลมู่
ผู้เฒ่าฝาน…โจวจื้อคุนที่วิ่งหนีจนเข้าใกล้ฝานกุ้ยซินเข้าไปทุกทีแล้ว เขารู้สึกดีใจยิ่งนัก ร้องเสียงดังออกมาแต่ไกลว่า “ผู้เฒ่าฝาน ช่วยข้าด้วย…” สายตาของฝานกุ้ยซินที่เพ่งไปข้างหน้า ได้ยินเสียงจี๊ดดังขึ้นเสียงหนึ่ง สิ่งของสิ่งหนึ่งถูกขว้างออกมาและปักตรึงอยู่ด้านหน้าไม่ไกลจากหลี่ชิเย่มากนัก
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม โจวจื้อคุนได้มาพึ่งพาเขาและทำงานให้กับเขา ในเวลาเช่นนี้ฝานกุ้ยซินยังคงต้องช่วยเขาเอาไว้
สิ่งที่ฝานกุ้ยซินขว้างออกไปและไปปักตรึงอยู่บนพื้นด้านหน้าของหลี่ชิเย่นั้นคือธงเล็กๆ ธงหนึ่ง บนธงได้ปักคำว่า ‘มู่’ เอาไว้ ดูมีความโบราณและพาลยิ่งนัก พลันที่เห็นก็รู้ว่าธงนี้ใช่มาจากฝีมือบุคคลธรรมดาทั่วไป
ธงอาญาสิทธิ์ของตระกูลมู่…ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องเย็นวาบในใจเมื่อเห็นธงนี้แล้ว โดยเฉพาะระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ พวกเขารู้ว่าธงนี้บ่งบอกถึงสิ่งใด
ธงนี้เป็นตัวแทนอำนาจของตระกูลมู่ เมื่อไรที่เห็นธงอาญาสิทธิ์นี้ไม่ว่าใครก็ต้องยอมอ่อนข้อให้ มิฉะนั้นแล้วก็เท่ากับเป็นศัตรูกับตระกูลมู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความรุนแรงอย่างยิ่ง
สมควรทราบว่า ธงอาญาสิทธิ์ลักษณะเช่นนี้ใช่ว่ามีกันได้ทุกคน เฉกเช่นฝานกุ้ยซินที่รับใช้ตระกูลมู่มาหลายยุคจึงสามารถได้ธงเช่นนี้มา ความล้ำค่าของมันใช่ธรรมดา อีกทั้งมีอำนาจบารมีที่สูงส่งยิ่งนัก
เห็นธงดั่งเห็นประกาศิต พลันที่ธงอาญาสิทธิ์นี้ปรากฏ เกรงว่าต่อให้เป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตเพียงใดก็คงมีไม่กี่คนที่ไม่ให้เกียรติ มิฉะนั้นล่ะก็เท่ากับเป็นศัตรูกับตระกูลมู่อย่างแท้จริง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...