ฝานกุ้ยซินหลบหนีไปอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนรับมือไม่ทัน ทุกคนล้วนแล้วแต่นึกไม่ถึงว่าฝานกุ้ยซินจะหนีไปกะทันหันเช่นนี้ จะอย่างไรเสียเขาคือตัวแทนของตระกูลมู่ในระดับหนึ่งนะเนี่ย ผู้คนจำนวนมากจึงเข้าใจว่าฝานกุ้ยซินจะยืนหยัดให้ถึงที่สุด ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเวลานี้เมื่อเห็นท่าไม่ดีกลับหลบหนีได้รวดเร็วยิ่งกว่าใครๆ อีกทั้งแม้แต่คำพูดที่ดูเป็นทางการสักคำก็ไม่พูด
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น จังหวะที่ฝานกุ้ยซินกำลังหลบหนีไปพริบตาเดียวกันนั้น กลับถูกคนสกัดเอาไว้กะทันหัน พริบตาเดียวนั่นเองเสมือนดั่งช่องว่างถูกปิดกั้นเอาไว้อย่างนั้น พลังที่น่าเกรงขามยิ่งสายหนึ่งพลันพุ่งโจมตีเข้ามา
ฝานกุ้ยซินรู้สึกตกใจกับสิ่งนี้ และต้องล่าถอยกลับในพริบตา หลีกเลี่ยงพลังที่น่าเกรงขามยิ่งที่เข้ามาสายนี้
“ผู้เฒ่าฝาน จะรีบเร่งหนีไปไหนกันเล่า?” เวลานี้เสียงที่ไพเราะน่าฟังเสียงหนึ่งดังขึ้น นาทีนี้เองปรากฎคนผู้หนึ่งได้ขวางทางของฝานกุ้ยซินเอาไว้
ผู้ที่ขวางทางฝานกุ้ยซินเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีบุคลิกลักษณะอันองอาจห้าวหาญ รูปโฉมสวยหยาดเยิ้ม เรียกได้ว่าสุดยอดในหล้ามีเพียงหนึ่งไม่มีสอง
เทพธิดาสงคราม…ผู้คนจำนวนไม่น้อยพลันจดจำนางได้ทันที เมื่อเห็นผู้หญิงที่ขวางทางไปของฝานกุ้ยซินเอาไว้
ผู้ที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันก็คือหวู่ปิงหนิง เทพธิดาสงครามแห่งจูเซียงหวู่ถิงนั่นเอง และนับเป็นอัจฉริยะบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังของแดนลัทธิพรรษ และเป็นเทพธิดาที่ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันถึง
หลานรัก…ฝานกุ้ยซินรู้สึกตกใจลึกๆ อยู่เหมือนกันเมื่อเห็นหวู่ปิงหนิงมาขวางทางของตนเอาไว้
“ผู้เฒ่าฝานไหนๆ ก็มาแล้วจะรีบหนีไปไหนเล่า” นัยน์ตาของหวู่ปิงหนิงดุจดวงดาวที่หนาวเหน็บ นางเอ่ยขึ้นช้าๆ น้ำเสียงหนักแน่นดุจดั่งเหล็กและหิน สูงส่งและเงียบเหงา
ในเวลานี้ บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองตากันและกัน กระทั่งมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่พูดเสียงแผ่วเบา โดยเฉพาะผู้ดำรงอยู่ในฐานะระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิ ยิ่งรู้สึกตกใจกับสิ่งนี้ยิ่งกว่า
“จูเซียงหวู่ถิงมีความใกล้ชิดกับนายน้อยมู่มิใช่รึ?” ผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกของตระกูลขุนนางโบราณก็รู้สึกตกใจอยู่ลึกๆ
ระดับผู้ยิ่งใหญ่ในแดนลัทธิพรรษต่างรู้ดีว่า จูเซียงหวู่ถิงคือผู้ที่ใกล้ชิดกับนายน้อยมู่มากที่สุดตั้งแต่มาถึงแดนลัทธิพรรษแล้ว กระทั่งกล่าวได้ว่านายน้อยมู่ได้รั้งอยู่ที่จูเซียงหวู่ถิงมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง
แม้ว่าตระกูลมู่ไม่ได้อยู่ในแดนลัทธิพรรษ แต่ทว่าด้วยความสัมพันธ์ของนายน้อยมู่กับจูเซียงหวู่ถิงในขณะนี้ จูเซียงหวู่ถิงเกือบจะกลายเป็นกองทัพที่อยู่เบื้องหลังของนายน้อยมู่ที่สามารถพึ่งพาได้แล้ว
กระทั่งเคยมีข่าวแพร่สะพัดในแดนลัทธิพรรษว่า ตระกูลมู่และจูเซียงหวู่ถิงจะมีการเกี่ยวดองสมรสกัน ซึ่งทางจูเซียงหวู่ถิงก็ไม่ได้ปฏิเสธและหรือยอมรับ แต่ว่า ผู้คนจำนวนมากต่างมองว่าแม้ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง
อย่างไรก็ตาม เวลานี้หวู่ปิงหนิงกลับขวางทางของฝานกุ้ยซินเอาไว้ ดูจากท่าทีของหวู่ปิงหนิงแล้วไม่เหมือนต้องการช่วยเหลือฝานกุ้ยซินให้หลบหนีไปได้ ตรงกันข้ามเหมือนเป็นการสกัดกั้นฝานกุ้ยซินมากกว่า
“ข่าวเล่าลือกันว่าจูเซียงหวู่ถิงจะเกี่ยวดองสมรสกับตระกูลมู่มิใช่รึ?” มีผู้เอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
ถ้าหากจะกล่าวว่า จูเซียงหวู่ถิงเกี่ยวดองสมรสกับตระกูลมู่ ทุกคนย่อมเข้าใจได้ว่า ต้องเป็นนายน้อยมู่ที่แต่งงานกับหวู่ปิงหนิงอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มจำนวนเท่าไรในแดนลัทธิพรรษที่ใฝ่ฝันถึงหวู่ปิงหนิง ผู้คนจำนวนเท่าไรที่ไม่ต้องการเห็นเรื่องเช่นนี้เกิด่ขึ้น แต่ความจริงนั้นทุกคนย่อมมีความชัดเจนว่า เมื่อไรที่จูเซียงหวู่ถิงเกี่ยวดองสมรสกับตระกูลมู่ล่ะก็ นายน้อยมู่แต่งงานกับหวู่ปิงหนิงย่อมเป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอนที่สุด
แต่ทว่า ท่าทีของหวู่ปิงหนิงในเวลานี้ดูเหมือนจะแปลกๆ อยู่บ้าง ถ้าหากทั้งสองตระกูลเกี่ยวดองสมรสกันจริง ตามหลักแล้วหวู่ปิงหนิงจะต้องยืนอยู่ข้างฝ่ายของฝานกุ้ยซินจึงจะถูก
“รอดูเหตุการณ์ไปเงียบๆ” แม้แต่ระดับผู้ยิ่งใหญ่รุ่นอาวุโสก็ไม่เข้าใจ กล่าวขึ้นและส่ายหน้าเบาๆ
“หลานรัก เจ้าหมายความว่าอะไร?” สีหน้าของฝานกุ้ยซินถึงกับเปลี่ยนไปเมื่อถูกหวู่ปิงหนิงขวางทางเอาไว้ และรู้สึกได้ท่าจะไม่ดีเสียแล้ว
“ไม่ได้มีความหมายอันใด” หวู่ปิงหนิงเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าแค่ต้องการดูว่าผู้เฒ่าฝานที่สง่าผ่าเผยยิ่งนัก และชูอำนาจบารมีของตระกูลมู่ ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าฝานสามารถสังหารคุณชายหลี่ได้หรือไม่”
ผู้คนจำนวนมากต่างมองหน้ากันและกันพลันที่หวู่ปิงหนิงพูดคำๆ นี้ออกมา ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีกถึงท่าทีของหวู่ปิงหนิง
สีหน้าของฝานกุ้ยซินเปลี่ยนไป ถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว เขารู้ว่าหวู่ปิงหนิงจะไม่ยืนอยู่ข้างฝ่ายของตนเองอย่างแน่นอน
“ความจริงแล้ว หากข้าต้องการฆ่าใครสักคน ต่อให้เขาต้องการหลบหนีไปจริงๆ ก็หนีไปไหนไม่พ้น” ในเวลานี้หลี่ชิเย่เดินเข้ามาด้วยท่าทีที่เหนื่อยหน่าย เหมือนว่าเขาไม่ได้รีบร้อนแม้แต่น้อย และไม่กลัวว่าฝานกุ้ยซินจะหลบหนีไปได้อย่างนั้น
ฝานกุ้ยซินหันกลับเผชิญหน้ากับหลี่ชิเย่ทันที แต่ก็ไม่กล้าหันหลังให้กับหวู่ปิงหนิง ได้แต่เอียงตัวอยู่ในท่าทางสามเหลี่ยม
“เวลานี้เจ้าคิดจะวิ่งหนีเสมือนหนึ่งเป็นสุนัขที่ไม่มีเจ้าของ ถูกข้าอาศัยกระบี่เดียวแทงเข้าข้างหลังจนตาย หรือจะยืดอกรับกระบี่ข้าทีหนึ่งล่ะ?” หลี่ชิเย่สะบัดกระบี่ไม้ไผ่ในมือเบาๆ ทีหนึ่งด้วยความตามอารมณ์ยิ่งนัก
สีหน้าของฝานกุ้ยซินดูปั้นยากยิ่งนัก ในใจของเขารู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่ เนื่องจากกระบี่ของหลี่ชิเย่รวดเร็วมากเหลือเกิน
ส่วนศักยภาพของหลี่ชิเย่จะแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยกันแน่นั้นไม่มีความสำคัญอีกแล้ว ที่สำคัญก็คือหนึ่งกระบี่ของเขานับว่ารวดเร็วมากเหลือเกิน รวดเร็วจนสุดจะจินตนาการได้ หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันออกไปก็จะเป็นการเก็บเกี่ยวชีวิตคน โดยที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นการออกกระบี่นี้ของเขาได้ชัดเจน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะต้านรับอยู่แล้ว
วิทยายุทธใต้หล้ามีเพียงความเร็วเท่านั้นที่ทำลายไม่ได้ สิ่งนี้ทำให้ฝานกุ้ยซินรู้สึกสะท้านภายในใจ ด้วยความเร็วที่สูงสุดเพียงพอที่จะทำลายทุกๆ เคล็ดวิชาได้ ความลึกซึ้งยอดเยี่ยมใดๆ ล้วนแล้วแต่ยากจะสำแดงออกมา
“หลานรัก เจ้าสมควรช่วยเหลือข้าอีกแรง” เวลานี้ฝานกุ้ยซินเหมือนดั่งเจอศึกหนักไม่กล้ากระทั่งกะพริบตาขณะจ้องมองหลี่ชิเย่ เนื่องจากเขากลัวหลี่ชิเย่จะลงมือกะทันหัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...