ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่ยืนดูอยู่ในระยะห่างไกลต่างรู้สึกใจหาใจคว่ำเงียบๆ เมื่อมองเห็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียนก็มีระดับบรรพบุรุษจำนวนมากมายที่มาถึง
มียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนถึงกับพึมพำออกมาว่า “นี่เป็นการเล่นไม่เลิกนะเนี่ย หลี่ชิเย่หักหน้ากันอย่างเปิดเผยกับนายน้อยมู่อย่างสิ้นเชิงแล้ว นี่คือจังหวะของการระเบิดศึก”
“แม้แต่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียนยังต้องให้เกียรตินะเนี่ย นายน้อยตระกูลมู่นับว่าสูงส่งโดยแท้จริง ผลกระทบของตระกูลมู่นับว่าไม่ธรรมดา” ระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิถึงกับกล่าวทอดถอนใจด้วยความหดหู่
แม้จะกล่าวว่าทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลง และสุสานกระบี่ต่างมีความแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่จะอย่างไรเสียก็เทียบไม่ได้กับครั้งก่อนนั้น ผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลงในยุคปัจจุบันคือราชวงศ์แปดแขน ส่วนสุสานกระบี่เองก็ไม่ใช่ตระกูลหลินในครั้งนั้น กล่าวได้ว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งสองล้วนแล้วแต่มีทีท่าที่จะเสื่อมลง แน่นอนหากจะพูดถึงปัจจุบันพวกเขายังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ เพียงแต่ในสถานการณ์โดยรวมแล้ว เทียบไม่ได้กับครั้งนั้นอย่างแท้จริง
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียนนั้นแตกต่างกัน เวลานี้สำนักสืบทอดที่ปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียนยังคงเป็นทายาทรุ่นหลังของผู้เฒ่าไคเทียน พวกเขามีสัจธรรมและเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์ของผู้เฒ่าไคเทียนอยู่ในครอบครอง จุดนี้หากว่ากันถึงระดับหนึ่งแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลังและสุสานกระบี่ในวันนี้ย่อมไม่สามารถเทียบเคียงได้อยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวของผู้เฒ่าไคเทียนเองก็นับว่าฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่ง เริ่มต้นด้วยการก่อตั้งสำนักที่สืบทอดระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียนขึ้นในแดนลัทธิพรรษ แต่ภายหลังเล่าลือกันว่าตัวเขาเองได้กลับกลายเป็นปฐมบรรพบุรุษของแดนลัทธิราชัน
เวลานี้ เมื่อนายน้อยตระกูลมู่ได้สั่งการให้มีการมอบรางวัล ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียน ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลง และสุสานกระบี่ต่างก้าวออกมาเป็นคนแรก ด้วยการระดมระดับบรรพบุรุษเป็นจำนวนมาก แทบเรียกได้ว่ายกออกมาทั้งสำนักหวังจะเอาชีวิตของหลี่ชิเย่ ย่อมมองออกว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิในแดนลัทธิพรรษให้ความสำคัญต่อนายน้อยมู่เพียงใด
ด้วยนายน้อยมู่ที่มีฐานะเช่นนี้นี่เอง หลังจากที่เขาปรากฏตัวในแดนลัทธิพรรษจึงมีน้อยคนนักที่กล้าต่อต้านเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหักหน้าอย่างเปิดเผย กระทั่งประกาศศึกกับเขาแล้ว
เวลานี้หลี่ชิเย่ได้หักหน้าอย่างเปิดเผยโดยสิ้นเชิงกับนายน้อยมู่ กระทั่งไม่เห็นตระกูลมู่อยู่ในสายตา ลำพังแค่อาศัยความกล้าหาญเช่นนี้แล้ว ก็สมควรให้ผู้คนต้องเลื่อมใส
“นับว่ามีความอหังการยิ่งนัก ในแดนลัทธิพรรษคนที่กล้าเป็นศัตรูกับนายน้อยมู่จริงๆ มีอยู่ไม่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดูแคลนต่อตระกูลมู่แล้ว” แม้แต่ระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิก็รู้สึกเลื่อมใส
ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างตระหนกเงียบๆ กับการที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียน สุสานกระบี่ และระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลงล้วนแล้วแต่ยินดีนำหน้าใครต่อใครทำงานให้กับนายน้อยมู่ เมื่อนายน้อยมู่ประกาศให้รางวัล แม้แต่บรรดาระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิขนาดใหญ่ก็รู้สึกตื่นตระหนกในใจ ย่อมไม่ต้องสงสับว่า ฐานะในแดนลัทธิพรรษของนายน้อยมู่น่ากลัวมากโดยแท้จริง
“เทพธิดาสงคราม เหล่าระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพวกเราก็อยู่ที่นี่” เวลานี้องค์ชายดาบมารกล่าวและเผยปณิธานการฆ่าออกมา
หวู่ปิงหนิงมีท่าทีที่เย็นชาสำหรับการมาถึงด้วยตนเองของเหล่าระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียน กระทั่งเทพแท้จริงดาบสังหารก็มาด้วยแล้ว เพียงกล่างน่าเกรงขามว่า “แล้วเป็นอย่างไร?”
ดวงตาทั้งสองขององค์ชายดาบมารเพ่งไปข้างหน้า ปณิธานการฆ่าดูเข้นข้นยิ่งนัก กล่าวน่าเกรงขามว่า “เทพธิดาสงคราม เจ้าต้องการเป็นศัตรูกับทั่วหล้าเพื่อจอมมารคนหนึ่ง มันคุ้มรึ?”
“มันเรื่องของข้า ไม่จำเป็นต้องให้บุคคลภายนอกมากังวล” คำตอบของหวู่ปิงหนิงเย็นชายิ่งนัก
“ฮึ เทพธิดาสงครามอย่าได้หาเรื่องให้กับตนเอง” เวลานี้คุณชายพานหลงก็ก้าวเดินออกมาและกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “แม้ว่าหลี่ชิเย่จะมีความแข็งแกร่ง แต่ว่า หากเป็นศัตรูกับนายน้อยมู่ เกรงว่าคงไม่มีจุดจบที่ดี…”
“สุนัขรับใช้ข้าเห็นมามากแล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวตัดบทคำพูดของคุณชายพานหลง กล่าวด้วยท่าทีเมินเฉยว่า “ครั้งนั้นข้ายินดีติดตามกองทัพพันธมิตรไป จะเป็นหรือตายยังไม่ได้ใส่ใจ หรือว่าข้าจะเกรงกลัวต่อแค่มู่เส้าเฉิงคนหนึ่งอย่างนั้นรึ? ต่อให้ตระกูลมู่แข็งแกร่งเช่นใดมันก็แค่ตระกูลมู่เท่านั้นเอง ระดับปฐมบรรพบุรุษของแดนลัทธิพรรษสักกี่คนที่มองตระกูลมู่อยู่ในสายตา”
พลันที่หวู่ปิงหนิงพูดคำๆ นี้ออกมา ทำให้ผู้คนจำนวนเท่าไรต้องหวั่นไหวในใจ โดยเฉพาะพวกที่หวั่นเกรงต่ออำนาจของตระกูลมู่ ภายในใจรู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้ยินคำบอกเล่าเช่นนี้
ทุกคนหวั่นเกรงต่อนายน้อยมู่ หาใช่เป็นเพราะตัวเขาเองนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงใด แต่เป็นการหวั่นเกรงในความแข็งแกร่งของตระกูลมู่ แต่ทว่า เมื่อไตร่ตรองให้ละเอียดแล้ว บรรพบุรุษของพวกเขาเองมีความแข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรเพียงใด ปฐมบรรพบุรุษของพวกเขาก็เคยมีท่าทีหมางเมินต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิในใต้หล้าทั้งหมดมาก่อน
กระทั่งมีระดับปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิบางแห่งไม่เห็นจะด้อยกว่าปฐมบรรพบุรุษของตระกูลมู่ เป็นต้นว่ากระบี่อัจฉริยะ เกรงว่าคงไม่ได้ด้อยไปกว่าปฐมบรรพบุรุษของตระกูลมู่
เพียงแต่ เป็นเพราะพวกเขาที่เป็นชนรุ่นหลังไม่เอาไหน ยอมศิโรราบต่ออำนาจของตระกูลมู่เท่านั้น
คุณชายพานหลงพลันมีสีหน้าที่แดงก่ำเมื่อได้ฟังคำพูดเช่นนี้ของหวู่ปิงหนิง ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ในเวลานี้ พวกเขาที่อยู่ในฐานะสามคุณชาย และสองสุดยอดดาบกระบี่เมื่อเปรียบเทียบกับนายน้อยมู่แล้ว นับว่าต่ำชั้นกว่าไม่น้อยโดยแท้จริง
สิ่งนี้หาใช่เป็นเพราะพวกเขาที่รู้สึกอับอายขายหน้าที่สู้คนอื่นไม่ได้ และไม่ใช่เพราะไม่สมบูรณ์มาแต่กำเนิด และหรือไม่แข็งแกร่งมากพอ เพียงแต่ไม่มีความกล้าหาญที่ดูถูกต่ออำนาจลักษณะเช่นนี้เฉกเช่นหวู่ปิงหนิงเท่านั้น
“เขากำลังบรรลุอะไรอยู่?” ในขณะที่ทุกคนกำลังทะเลาะกันอยู่นั้น เทพกระบี่กูตู๋ไม่ได้สนใจใครอื่น และเรื่องอื่นๆ เลย ในตาของเขาไม่เคยมองคนอื่นสักแวบ และไม่สนใจรอบข้างได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
เทพกระบี่กูตู๋คือเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นเก้า มีความยอดเยี่ยมยิ่งนัก จากการเฝ้าสังเกตอย่างละเอียดของเขา จึงพบเบาะแสอะไรบางอย่าง ในเวลานี้เขาเข้าใจแล้วว่าหลี่ชิเย่กำลังทำความบรรลุอะไรบางอย่าง ทั้งยังอยู่ระหว่างเข้าฌานไปแล้ว
แค่คำพูดคำเดียวของเทพกระบี่กูตู๋ก็ได้ทำลายความสับสนวุ่นวายทั้งหมดไป สายตาของทุกคนพลันจับจ้องรวมอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ ในเวลานี้ทุกคนจึงได้ตระหนักว่าหลี่ชิเย่มีความผิดปรกติจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...