มู่เส้าเฉินลุกขึ้นยืนมองดูทุกคน และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ในเมื่อเทพอินทรีก็มาแล้ว นับว่ามากันพร้อมแล้วพวกเราสมควรเริ่มได้แล้วล่ะ ได้เวลาไตร่สวนและตัดสินแล้ว”
“น่าเสียดาย หลี่ชิเย่ยังไม่ได้มา” มีผู้ที่ฉวยโอกาสพูดคำนี้ออกมา เป็นการพูดที่ได้จังหวะมาก
ดวงตาทั้งสองข้างของมู่เส้าเฉินเพ่งตรงไปข้างหน้า เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ในเมื่อคนแซ่หลี่ไม่มา นั่นแสดงว่าเขากินปูนร้อนท้อง ไม่กล้าเผชิญหน้ากับผู้คนทั่วหล้า การตัดสินให้เขาเป็นมารก็นับว่าไม่เกินเลยไป จอมมารเช่นนี้ทุกคนย่อมสังหารได้”
ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างมองตากันและกันเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่ยังคงรู้จักเอาตัวรอดต่างเข้าใจได้ทันที การไตร่สวนและตัดสินครั้งนี้มู่เส้าเฉินต้องการให้แดนลัทธิพรรษทั้งหมดเป็นศัตรูกับหลี่ชิเย่ หลี่ชิเย่จะมาหรือไม่หาใช่เรื่องสำคัญแล้ว มู่เส้าเฉินจะต้องหาเหตุสารพันมายัดข้อหาให้กับหลี่ชิเย่อยู่แล้ว
“ถูกต้อง หลี่ชิเย่เจ้าคนที่หดหัวแต่ในกระดองไม่กล้ามา ย่อมหมายถึงกินปูนร้อนท้อง เขาจะต้องได้ฝึกวิชามารดูดเลือดแล้ว จอมมารเช่นนี้จะต้องไปพูดเรื่องเมตตาและคุณธรรมอะไรกับเขา ฆ่าทิ้งก็สิ้นเรื่อง” ระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลงสนับสนุนทันที
“ข้าก็สนับสนุน ไม่แน่นักหลี่ชิเย่เวลานี้คิดจะหนีกลับไปยังระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้ว พวกเราจะเปิดโอกาสให้มันหนีกลับไปรังเก่าไม่ได้เด็ดขาด ส่งกองทัพไปปราบหลี่ชิเย่ที่เป็นจอมมารผู้นี้เดี๋ยวนี้เลย” สุสานกระบี่ และระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียนก็ทยอยกันกล่าวสนับสนุนขึ้นมา
ในเวลานี้ มีระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนไม่น้อยที่ยืนอยู่บ้างฝ่ายของมู่เส้าเฉิน สำหรับบรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่ไม่ได้แสดงท่าทีเหล่านั้น พวกเขาก็ไม่สะดวกที่จะก้าวออกมาคัดค้าน ได้แต่มองไปที่นักพรตพเนจรหยางหมิงแล้ว
ถ้าหากเวลานี้พวกเขาก้าวออกมาคัดค้าน เท่ากับเป็นการบ่งบอกว่าพวกเขากับหลี่ชิเย่คือพวกเดียวกัน เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้พวกเขากระโดดลงไปในแม่น้ำฮวงโหก็ล้างมณทินไม่ออก
“ยังไม่ทันได้ไตร่สวนก็จะยัดข้อหาให้คนอื่น เป็นวิธีการที่ไม่เหมาะ” นักพรตพเนจรหยางหมิงที่นั่งตัวตรงอยู่ที่ตรงนั้นเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “อย่างน้อยที่สุดพวกเราควรให้โอกาสหลี่ชิเย่ได้พิสูจน์ตัวเอง”
“เกรงว่าเขาจะไม่ปรากฏตัวแล้วล่ะ” มู่เส้าเฉินจ้องเขม็งไปที่นักพรตพเนจรหยางหมิง และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “นักพรตพเนจร ถ้าหากหลี่ชิเย่ไม่ปรากฏตัวตลอดไป หรือว่าพวกเราก็จะดึงเวลาไปเรื่อยๆ เช่นนี้รึ? ทุกคนรอคอยอยู่ตรงนี้ก็นับว่านานมากพอแล้ว ในเมื่อหลี่ชิเย่ยังไม่กล้ามา ก็เท่ากับกินปูนร้อนท้อง เขาจะต้องได้ฝึกวิชามารแล้ว เวลานี้พวกเราไม่จำเป็นต้องไปหารือว่าเขาเป็นจอมมารหรือไม่อีกแล้ว ที่พวกเราต้องหารือคือระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมดของแดนลัทธิพรรษควรจะร่วมมืออย่างไร เพื่อปราบจอมมารอย่างหลี่ชิเย่คนนี้เสีย!”
คำบอกกล่าวเช่นนี้ของมู่เส้าเฉินเป็นการยกตนข่มท่าน นี่หาใช่แค่ต้องการไตร่สวนพิพากษาหลี่ชิเย่แค่นั้นเองเสียแล้ว มู่เส้าเฉินต้องการอาศัยการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ของพรรคหยางหมิงในครั้งนี้ ช่วงชิงและสั่นคลอนต่อฐานะความเป็นผู้นำของพรรคหยางหมิง ขอเพียงเวลานี้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิส่วนใหญ่ของแดนลัทธิพรรษยืนอยู่ข้างฝ่ายของเขา มู่เส้าเฉินเขาก็จะเป็นผู้นำของแดนลัทธิพรรษทั้งหมด
“นายน้อยมู่รีบร้อนเกินไปแล้วกระมัง งานเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น” นักพรตพเนจรหยางหมิงไม่ได้แสดงอาการโกรธ สำหรับท่าทีที่ยกตนข่มท่านของมู่เส้าเฉิน เพียงสองตาเพ่งไปข้างหน้าและเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ใช่ว่านายน้อยมู่ใจร้อนเกินไป” เวลานี้ระดับบรรพบุรุษของสุสานกระบี่ก็กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “พวกเรารอมานานมากแล้ว หลี่ชิเย่ยังคงไม่ได้ปรากฏตัวออกมา เกรงว่าเขาคงหนีไปนานแล้ว นักพรตพเนจร พวกเราปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้กับจอมมาร”
“นักพรตพเนจร เจ้าคนแซ่หลี่จนป่านนี้ยังไม่ปรากฏตัว สมควรแก่เวลาที่จะตัดสินได้แล้วกระมัง สำหรับจอมมารเช่นนี้ใยจะต้องพูดถึงคุณธรรม หากว่านักพรตพเนจรอาศัยความเมตตาเพียงคนเดียวทำให้สูญเสียโอกาสไป เกรงว่าจะทำให้ผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนต้องเสียชีวิตด้วยมือของจอมมารผู้นี้ นักพรตพเนจรก็คงไม่อยากมีหน้าที่ต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้กระมัง” ในเวลานี้เอง ระดับบรรพบุรุษของจูเซียงหวู่ถิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ได้ปริปากพูดออกมา
เวลานี้ไม่เพียงแค่พวกของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิพานหลงที่แสดงท่าทีเท่านั้น เมื่อจูเซียงหวู่ถิงแสดงท่าที ปรากฏว่าไม่รู้มีระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนเท่าไรก็ทยอยกันแสดงท่าทีออกมา เวลานี้ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่ยืนอยู่ข้างฝ่ายของมู่เส้าเฉินมีมากกว่าครึ่งหนึ่ง
เฉกเช่นสุสานกระบี่ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิผู้ได้รับผลประโยชน์ ย่อมต้องสนับสนุนต่อมู่เส้าเฉินอย่างเต็มที่อยู่แล้ว และมู่เส้าเฉินได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะผู้นำของบรรดาระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเหล่านี้แล้ว
ความจริงแล้ว กล่าวสำหรับจูเซียงหวู่ถิงแล้วก็ยินดีที่จะยืนอยู่ข้างฝ่ายของมู่เส้าเฉินเช่นกัน พวกเขาไม่เพียงได้ประโยชน์จากตัวมู่เส้าเฉินเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ช้าหรือเร็วมู่เส้าเฉินก็ต้องไปจากแดนลัทธิพรรษอยู่แล้ว คงมีสักวันจะต้องกลับไปยังแดนลัทธิราชัน
ถ้าหากเวลานี้สามารถขึ้นสู่ฐานะผู้นำแทนที่พรรคหยางหมิง ถึงแม้ว่าต้องให้มู่เส้าเฉินนั่งตำแหน่งผู้นำ แต่สักวันเมื่อมู่เส้าเฉินจากไปแล้ว นั่นหมายความว่าจูเซียงหวู่ถิงของพวกเขาก็จะแทนที่ฐานะของพรรคหยางหมิง กลายเป็นผู้นำของแดนลัทธิพรรษ
ในขณะนี้ขั้วอำนาจใหม่และเก่าได้ก่อตัวขึ้น สิ่งนี้ไม่เพียงแค่เป็นการไตร่สวนและตัดสินหลี่ชิเย่เท่านั้น แต่เป็นงานยิ่งใหญ่แห่งการแย่งชิงอำนาจของแดนลัทธิพรรษอีกด้วย
อาศัยมู่เส้าเฉินเป็นหัวหน้าทำการท้าสู้กับพรรคหยางหมิง เป็นที่แน่ชัดมาก มู่เส้าเฉินมีการเตรียมการมาอย่างดี เวลานี้สุสานกระบี่ของพวกเขากอดกันแน่น ทุกระดับชั้นล้วนแล้วแต่สนับสนุนมู่เส้าเฉินเต็มที่ ทำให้พวกของมู่เส้าเฉินช่วงชิงความได้เปรียบ และโอกาสได้ในทันที
“ในเมื่อหลี่ชิเย่ไม่กล้าปรากฏตัว นั่นก็คือกินปูนร้อนท้อง ต้องมีการฝึกเคล็ดวิชามารไปแล้ว พวกเราสมควรขจัดจอมมารเช่นนี้เสีย” ในเวลานี้ ได้มีระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่ออกมาประกาศตัวแล้ว
ในเวลานี้ สถานการณ์โดยรวมเดือดพล่าน กลับกลายเป็นว่านักพรตฉางเซิน และนักพรตพเนจรหยางหมิงที่ดูสงบนิ่ง ถึงกับไม่พูดอะไรสักคำ
“ถูกต้อง เวลานี้พวกเราสมควรยกทัพไปปราบจอมมารผู้นี้ให้สิ้นซาก” มีผู้ร้องเสียงดังขึ้นมาทันที
“ตกลง” มู่เส้าเฉินได้ปริปากพูดขึ้นมาแล้วในเวลานี้ ภายในระยะเวลาอันสั้น มู่เส้าเฉินได้เปลี่ยนจากแขกเป็นเจ้าบ้านทันที กล่าวเสียงเย็นชาว่า “เมื่อหลี่ชิเย่ไม่กล้าปรากฏตัว เช่นนั้นแล้วพวกเราส่งคนไปค้นหา จะไม่ปล่อยให้เขาหนีไปได้อย่างเด็ดขาด”
ในขณะนี้มู่เส้าเฉินในฐานะผู้มีอิทธิพลเสนอความเห็นขึ้นมา มีผู้คล้อยตามเป็นหมื่นพันทันที
“ใครบอกว่าคุณชายของพวกเราไม่กล้าปรากฏตัว?” ในเวลานี้เองเสียงที่เยือกเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้น มองเห็นร่างเงาสองสายปรากฏอยู่ตรงหน้าของทุกคน
เสียงนี้ได้ทำลายบรรยากาศในทันที ผู้คนจำนวนไม่น้อยทอดสายตามองไป เห็นผู้หญิงสองคนปรากฏอยู่ตรงหน้าของทุกๆ คน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...