ใช่ว่ามู่เส้าเฉินจะไม่เคยดิ้นรนเลยขณะที่สะเก็ดไฟเล็กน้อยนี้ปลิวไปตกบนตัว เขาได้ก้าวถอยหลังไปด้วยความเร็วสูงสุด ฉับพลันได้เปลี่ยนจังหวะการก้าวเท้าไปหลายสิบแบบ
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มู่เส้าเฉินนั้นนับว่ามีความรู้กว้างขวางยิ่งนัก ฉับพลันนั้นก็ได้เปลี่ยนจังหวะการก้าวเท้าไปหลายสิบแบบ รวมทั้งจังหวะการก้าวเท้าของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิใหญ่ต่างๆ อีกทั้งทุกๆ จังหวะการก้าวเท้าล้วนแล้วแต่เป็นหนึ่งในหล้า
แต่ว่า แม้ว่าเขาจะมีความเร็วมากไปกว่านี้ แม้ว่าจังหวะการก้าวเท้าของเขาจะเป็นหนึ่งในหล้าก็ยังคงช่วยอะไรไม่ได้ ศักยภาพระหว่างสองคนห่างชั้นกันมากเหลือเกิน ขอเพียงหลี่ชิเย่ต้องการชีวิตของเขาจริงๆ แม้ว่าจังหวะการก้าวเท้าของเขาจะแกร่ง่ยิ่งไปกว่านี้ และยอดเยี่ยมเป็นหนึ่งไม่มีสองมากไปกว่านี้ ก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรไม่ได้
สะเก็ดไฟอันน้อยนิดนี้ยังคงปลิวไปตกอยู่บนร่างกายของเขา สะเก็ดไฟน้อยนิดนี้ขณะปลิวไปตกอยู่บนร่างกายของเขาก็ไม่ได้ลุกไหม้ตูมขึ้นมาทั่วร่าง และไม่ได้มีลักษณะของการลุกไหม้ขึ้นบนตัวของเขา
สะเก็ดไฟแค่นี้ไม่ได้คึกคักอะไร และสะเก็ดไฟน้อยนิดเช่นนี้กระทั่งยื่นมือไปปัดก็ดูเหมือนทำให้มันดับลงได้อย่างนั้น
แต่ว่า ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ขณะที่สะเก็ดไฟอันน้อยนิดนี้ยังคงปลิวไปตกอยู่บนร่างกายของเขานั้น ก็คล้ายดั่งสะเก็ดไฟน้อยนิดที่ปลิวไปตกอยู่บนกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง แม้ว่าสะเก็ดไฟน้อยนิดนี้ไม่ได้ทำให้กระดาษเกิดการลุกไหม้ขึ้นมา และไม่ส่งผลให้เกิดเป็นควันดำขึ้น แต่ความจริงแล้ว สะเก็ดไฟน้อยนิดนี้ยังคงเผาไหม้กระดาษเปล่าแผ่นนั้นอยู่
เพียงแต่มันคือไฟที่กำลังเผาไหม้ลามไปเรื่อยๆ เฉกเช่นกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง หลังจากที่สะเก็ดไฟน้อยนิดตกลงบนกระดาษนั่นแล้ว มันได้เปลี่ยนแปลงบริเวณนั้นเป็นสีเทาอย่างช้าๆ แม้ว่ามองไม่เห็นว่ามันมีการลุกไหม้ขึ้น ความจริงแล้วกระดาษเปล่าแผ่นนี้ได้เริ่มถูกเผาไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้าแล้ว แต่มันยังคงสภาพเหมือนเป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง
ดังนั้น เมื่อสะเก็ดไฟน้อยนิดนี้ตกไปอยู่บนตัวของมู่เส้าเฉินนั้น จะมองไม่เห็นว่าไฟกำลังลุกไหม้ และมองไม่เห็นควันดำที่ลอยขึ้นมา แต่ว่า ในขณะนี้ผิวหนังของเขาได้เริ่มกลายเป็นสีเทาไปแล้ว
เริ่มต้นจากสะเก็ดไฟน้อยนิดนี้ สีเทาได้แผ่ลามไปทั่วร่าง เป็นการบ่งบอกว่าตำแหน่งที่กลายเป็นสีเทานั้นได้ถูกสะเก็ดไฟเผาไหม้ไปหมดแล้ว
ที่น่าสยองขวัญมากกว่านี้ก็คือ มันไม่เพียงแค่เผาผลาญผิวหนังของมู่เส้าเฉินไปเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ได้เผาไหม้กล้ามเนื้อ เอ็นและกระดูก ลมปราณ…ที่อยู่บริเวณส่วนนี้ไปด้วย ขอเพียงบริเวณที่สีเทาลามไปถึง ก็บ่งบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างบริเวณนั้นได้ถูกไฟไหม้ไปจนหมดสิ้นไปแล้ว รวมทั้งพลัง
อ๊ากกก…เสียงร้องที่น่าเวทนาดังขึ้น ยากที่มู่เส้าเฉินจะทนต่อความเจ็บปวดเช่นนั้นได้ อดที่จะยื่นมือไปปัดสะเก็ดไฟอันน้อยนิดที่อยู่บนตัวได้
แต่ว่า ขณะที่เขาเอามือไปปัดสะเก็ดไฟดังกล่าวนั้น มองเห็นเถ้าธุลีที่ปลิวว่อน บริเวณที่ได้ถูกเผาไหม้ไปแล้วได้กลายเป็นเถ้าธุลีที่ปลิวว่อนฟุ้งกระจายไปบนท้องฟ้าในทันที
ลักษณะเช่นนี้ก็คล้ายกระดาษเปล่ามาแผ่นหนึ่ง บริเวณที่ถูกไฟไหม้ลามไปโดยที่มองไม่เห็นเปลวไฟ เมื่อเอามือปัดบริเวณนั้นก็จะกลายเป็นเถ้าที่ปลิวกระจายฟุ้งไปบนอากาศ
สิ่งนี้ได้สร้างความตกใจให้กับมู่เส้าเฉินจนขวัญหนีดีฝ่อ แม้ว่าเวลานี้เขาจะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่เขาไม่กล้าเอามือไปปัดสะเก็ดไฟบนตัวอีกแล้ว
เนื่องจากลักษณะเช่นนี้แตกต่างจากการที่ร่างกายถูกทำลาย ถ้าหากว่าร่างกายถูกผู้อื่นทำลายจนแหลกละเอียดไป ด้วยศักยภาพของเขา และธาตุแท้ภายในของตระกูลมู่พวกเขาแล้ว อาการบาดเจ็บที่สาหัสมากกว่านี้ก็สามารถสร้างกายเนื้อขึ้นมาได้ใหม่
อย่างไรก็ตามลักษณะที่หลี่ชิเย่ทำนั้นจะทำเช่นนั้นไม่ได้ เมื่อไรที่ถูกเผาทำลายเท่ากับถูกเผาทำลายอย่างสิ้นเชิง เขาจะไม่สามารถสร้างกายเนื้อจากร่างกายที่หายวับไปกับตาได้อีกต่อไป
อ๊ากกก…เสียงร้องที่น่าเวทนาของมู่เส้าเฉินดังก้องไปทั่วฟ้าดิน ทำให้ผู้คนถึงกับตัวสั่นดั่งลูกนก
ผู้คนจำนวนมไน้อยที่รู้สึกสั่นเทาเมื่อได้ยินเสียงร้องที่น่าเวทนาเช่นนี้ของมู่เส้าเฉิน มันช่างเป็นวิธีการที่สยดสยองอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้คนต้องสะอื้นเบาๆ เมื่อหวนนึกถึงมู่เส้าเฉินในครั้งนั้นช่างสง่าผ่าเผยยิ่งเพียงใด และหยิ่งยโสอย่างยิ่งเช่นใด แต่มาวันนี้ก็ไม่อาจหนีความตายไปได้พ้น
“ไม่…” ในเวลานี้เอง ร่างกายของมู่เส้าเฉินถูกไฟเผาไหม้ไปจนกลายเป็นสีเทาเข้มทั้งร่าง สะเก็ดไฟได้ไหม้ลามไปยังบริเวณหน้าผากของเขา นั่นเท่ากับได้ลุกไหม้ถึงชะตาแท้ของเขา เขารู้แล้วว่ามันบ่งบอกถึงสิ่งใดแล้ว
อ๊ากกก…ขณะที่สะเก็ดไฟไหม้ไปถึงชะตาแท้นั้น เสียงร้องของมู่เส้าเฉินแหลมและเศร้ารันทดอย่างยิ่ง แทบจะขาดใจ
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น จังหวะที่ไฟกำลังลุกไหม้ชะตาแท้ของมู่เส้าเฉินอยู่นั้น ชะตาแท้ของเขาพลันพวยพุ่งประกายที่เจิดจรัสอย่างยิ่งออกมา ประกายที่เจิดจรัสยิ่งสายนี้พลันตรึงอยู่บนท้องฟ้าเบื้องบน
ครั้นประกายที่สว่างจ้าสายนี้ตรึงอยู่บนท้องฟ้า ได้ยินเสียงแว้งค์ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ประกายสายนี้พลันดันท้องฟ้าให้ประตูบานหนึ่งที่เต็มไปด้วยอักขระยันต์ให้เปิดออก อักขระยันต์หมุนวน ได้ยินเสียงเอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยดแต่ละเสียงที่ดังขึ้น เหมือนประตูใหญ่ที่หนักมากถูกเปิดออกอย่างนั้น
เมื่อเสียงลักษณะเช่นนี้ดังขึ้นมานั้น ทุกคนต่างมองเห็นภาพๆ หนึ่งที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า ที่ตรงนั้นมีแผ่นดินที่งดงามใหญ่โตลอยล่องอยู่ ตลบอบอวลไปด้วยพลังที่น่าเกรงขามปราศจากผู้ต่อกรอยู่ตรงนั้น คล้ายดั่งเป็นแดนสวรรค์อย่างนั้น
“ตระกูลมู่…” ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้แล้วว่ามันบ่งบอกถึงสิ่งใด เมื่อมองเห็นภาพที่อยู่บนท้องฟ้า
“นั่นมันคืออะไร…” ยังคงมีผู้ที่ไม่เข้าใจว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรกัน เมื่อมองเห็นภาพนี้แล้ว
“ตระกูลมู่ได้ทำอะไรบางอย่างบนตัวของมู่เส้าเฉิน ยามที่มู่เส้นเฉินประสบกับความตายขึ้นมาจริงๆ ตระกูลมู่ก็จะรับเอาตัวเขากลับไป” ระดับบรรพบุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้น
แน่นอนที่สุด สิ่งนี้กล่าวสำหรับตระกูลมู่แล้ว การที่จะรับตัวคนผู้หนึ่งจากแดนลัทธิพรรษกลับไปยังแดนลัทธิราชัน จำนวนค่าใช้จ่ายที่ต้องสูญเสียไปนั้นมากมายมหาศาล ด้วยเหตุนี้เองหากไม่ถึงยามคับขันความเป็นความตายจริงๆ ตระกูลมู่ก็จะไม่รับเอาตัวมู่เส้าเฉินกลับไปอยู่แล้ว
แว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น ในพริบตาเดียวนั่นเอง มองเห็นประตูบานที่อยู่บนท้องฟ้าได้ยิงแสงลงมาสายหนึ่ง เสมือนดั่งแสงอาทิตย์ที่สาดส่องไปทั่ว แสงลักษณะเช่นนี้พลันพันธนาการร่างกายของมู่เส้าเฉินเอาไว้
ภายใต้การพันธนาการของแสงแต่ละสาย ร่างของมู่เส้าเฉินถูกลากขึ้นไปบนท้องฟ้าเข้าไปยังประตูบานนั้นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น และหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที จากนั้นตามติดได้เสียงปุเสียงหนึ่ง ประตูดังกล่าวได้แตกสลายและหายไปทันที เหมือนว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น
“มันจะเป็นอย่างไรกันแน่นะ?” ทุกคนต่างมองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความงุนงงไม่สามารถเรียกสติคืนกลับมา ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่ามู่เส้าเฉินเป็นหรือตาย ตระกูลมู่สามารถช่วยเขาได้หรือไม่อย่างไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...