จางเจี้ยนชวนถึงกับสะดุ้งในใจเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของหลี่ชิเย่ แม้ว่าเขายังไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด แต่ว่า คำบอกเล่าเช่นนี้ของหลี่ชิเย่เสมือนดั่งได้เปิดหน้าต่างบานหนึ่งออกมาอย่างช้าๆ
“รอบรู้และเข้าใจ ใช้มันอย่างเต็มที่ อนาคตต้องทำการใหญ่ได้สำเร็จแน่นอน” หลี่ชิเย่มองดูจางเจี้ยนชวนทีหนึ่ง กล่าวเฉยเมยว่า “เสียดายมีคลังสมบัติอยู่ แต่กลับไม่มีใครไปใช้มันให้เต็มที่อีกต่อไป”
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้ ได้มองดูคลังลับที่เต็มไปด้วยตำราตรงหน้า หัวเราะทีหนึ่งและส่ายหน้า
เวลานี้ จางเจี้ยนชวนถึงกับยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น เมื่อค่อยๆ พิจารณาถึงคำพูดของหลี่ชิเย่อย่างละเอียด เหมือนว่าเขาได้ตระหนักเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง
ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมากในอดีต สำนักเสินสิงเหมินของพวกเขาอาศัยการสืบเสาะหาข่าว และการขุดคุ้ยข่าวลับในการก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา กล่าวได้ว่า ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่ง สำนักเสินสิงเหมินพวกเขาอาศัยระบบข่าวกรองที่อยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบ กุมความลับของแดนลัทธิราชันเอาไว้เป็นจำนวนมาก และด้วยเหตุนี้เอง จึงนำมาซึ่งประโยชน์มากมายให้กับสำนักเสินสิงเหมินของพวกเขา
ในยุคสมัยนั้น จังหวะที่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นจำนวนมากนั้น สำนักเสินสิงเหมินของพวกเขาก็สามารถก่อนหน้าผู้อื่นก้าวหนึ่งอยู่เสมอๆ ส่งผลให้สำนักเสินสิงเหมินได้รับผลประโยชน์จำนวนมากจากความไม่สงบหลายครั้งนั่น และทำให้พวกเขาครองความได้เปรียบจากเหตุการณ์ไม่สงบหลายครั้งนั่น
เมื่อเป็นดังนี้ ส่งผลให้สำนักเสินสิงเหมินของพวกเขามีความแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างช้าๆ และก็ได้กลายเป็นหนึ่งในห้าแกร่งในท้ายที่สุด
แต่ว่า จากการที่สำนักเสินสิงเหมินมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จึงมีศิษย์ที่จับงานด้านนี้น้อยลงทุกที และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ข่าวกรองของสำนักเสินสิงเหมินตกต่ำมาก อีกทั้งข่าวลือที่ไม่ได้มีการบันทึกอย่างเป็นทางการและมีน้อยคนที่รู้รวมทั้งตำราโบราณที่มีเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนในคลังลับก็ไม่มีใครไปพลิกเปิดอ่านมันอีกแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไป ก็บ่งบอกว่าความลับที่กุมอยู่ในมือของสำนักเสินสิงเหมินก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ กระทั่งไม่ได้มีความได้เปรียบอีกต่อไป
แน่นอน ระดับบรรพบุรุษจำนวนมากของสำนักเสินสิงเหมินต่างมองว่า อาศัยความแข็งแกร่งในวันนี้ของสำนักเสินสิงเหมินพวกเขา เพียงพอที่จะเกรียงไกรไปทั่วหล้าอยู่แล้ว!
เวลานี้คำบอกเล่าเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ได้ทำให้ภายในใจของจางเจี้ยนชวนพลันรู้สึกตระหนักขึ้นมานิดหนึ่ง เหมือนว่าได้เห็นแสงรำไรท่ามกลางหมอกที่หนาทึบอย่างนั้น พลันจุดติดหัวใจของเขา ทำให้เขาได้มองเห็นแสงสว่างโดยพลัน เหมือนว่าสิ่งนี้ทำให้เขามีทิศทางแล้วอย่างนั้น
ช่วงเวลาผ่านมาที่รั้งอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ ยิ่งทำให้จางเจี้ยนชวนรู้สึกว่าฮ่องเต้องค์ใหม่แตกต่างกับที่เล่าลือกันอย่างสิ้นเชิง ในเวลานี้จางเจี้ยนชวนเหมือนตระหนักถึงอะไรบางอย่างลางๆ มีความเป็นไปได้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ผู้คนบนโลกรู้จักไม่ใช่ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่แท้จริง นั่นเป็นเพียงปรากฎการณ์ลวงตาเท่านั้นเอง
แต่ว่า เพราะอะไรฮ่องเต้องค์ใหม่ต้องให้ผู้คนเห็นปรากฎการณ์ลวงตาเช่นนี้ กระทั่งให้แคว้นล่มสลายแผ่นดินถูกทำลาย ข้อนี้คือสิ่งจางเจี้ยนชวนไม่สามารถเข้าใจได้
การรั้งอยู่ในสำนักเสินสิงเหมินของหลี่ชิเย่กล่าวได้ว่า เสมือนดั่งเป็นพระสงฆ์ที่มีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก อาศัยตะเกียงและตำราโบราณเป็นเพื่อน อีกทั้งยังไม่สนใจเรื่องราวภายนอก กระทั่งขี้คร้านจะเอ่ยถามถึงเรื่องราวที่อยู่ภายนอกสักคำ
“ฝ่าบาทไม่อยากรู้สักนิดเกี่ยวกับสภาพการณ์ของราชวงศ์บ้างเลยรึ?” หลังจากที่เริ่มคุ้นเคยกับหลี่ชิเย่อย่างช้าๆ แล้ว จางเจี้ยนชวนที่มองเห็นหลี่ชิเย่อาศัยตะเกียงและตำราโบราณเป็นเพื่อน ไม่สนใจเรื่องราวบนโลก ถึงกับต้องเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เนื่องจากจางเจี้ยนชวนรับผิดชอบด้านระบบข่าวกรองของสำนักเสินสิงเหมิน ดังนั้น จึงมีข่าวคราวจำนวนมากที่ถูกส่งเข้ามาจากภายนอกทุกๆ วัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปจากสำนักเสินสิงเหมิน แต่กลับรู้เรื่องเหตุการณ์ภายนอกมากมาย
“มีอะไรน่าสนใจ” หลี่ชิเย่ยิ้มออกมาตามอารมณ์ และกล่าวว่า “โต่วเซิ่นสูญเสียอำนาจ ทั่วหล้าต่างแย่งชิง แต่ทว่า ไม่ว่าใครก็ไม่ได้มา อาศัยสถานการณ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ในขณะนี้ ใครบ้างสามารถกุมอำนาจใต้หล้าได้ แล้วจะมีใครที่สามารถบัญชาการใต้หล้าได้?”
“สำนักและระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ แค่พื้นๆ ธรรมดาๆ เท่านั้นเอง ผู้ที่สามารถชิงแผ่นดินก็แค่ห้าแกร่งเท่านั้น บวกกับราชวงศ์โต่วเซิ่นที่เรียกว่าหกกองทัพใหญ่นั้นก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว! แต่ว่า ห้าแกร่งก็ดี ราชวงศ์โต่วเซิ่นก็ช่าง ไม่ว่าพวกที่ได้ชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ เทพแท้จริง และหรือปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งห้า มีใครยอมใครที่ไหน? ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำให้ผู้อื่นยอมสยบ อำนาจใต้หล้าได้แต่จับผูกเอาไว้บนหอสูงเท่านั้น และได้แต่เจรจาโดยไม่สามารถคืบหน้าไปได้” หลี่ชิเย่พูดขึ้นตามอารมณ์
ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว มองดูจางเจี้ยนชวนทีหนึ่งและยิ้มกล่าวว่า “ตาเฒ่าฟงช่วงนี้ไม่ได้โผล่หน้ามา คิดว่าคงไปที่วังหลวงกระมัง ช่วงเวลานี้ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสุงสุดทั้งห้าน่าจะแหกปากอยู่ในวังหลวงกันเต็มที่ ต่อให้พวกเขาแหกปากจนเสียงแหบเสียงแห้ง ก็ยังคงไม่มีใครยอมใครอยู่ดี”
คำพูดที่หลี่ชิเย่พูดออกมาตามใจ พลันทำให้จางเจี้ยนชวนสะเทือนหวั่นไหวอยู่ตรงนั้น อ้าปากกว้างค้างอยู่อย่างนั้น เวลานี้ไม่สามารถพูดอะไรออกมา
เนื่องจากหลี่ชิเย่ที่พูดออกมาตามอารมณ์ ก็สามารถพูดถึงสถานการณ์ใต้หล้าได้อย่างชัดเจน และพูดออกมาได้ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย
เป็นดั่งที่หลี่ชิเย่พูดเอาไว้ แม้ว่าแคว้นจะล่มสลาย แผ่นดินถูกทำลาย อำนาจสูงสุดที่ฮ่องเต้ไท่ชิงสร้างไว้พังครืนในชั่วข้ามคืน ทำให้เพียงชั่วข้ามคืนระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ก็ไม่มีเจ้าของ แต่ว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่โดยรวมไม่ว่าใครก็ไม่สามารสยบอีกฝ่าย ไม่เหมือนเช่นฮ่องเต้ไท่ชิงที่สามารถสยบทั่วหล้า และไม่เหมือนฮ่องเต้องค์ใหม่ที่มีอำนาจสืบทอดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ดังนั้น แม้ว่าพวกของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือจะตีวังหลวงจนแตก แต่ว่า ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถกุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้ตามปรารถนา
เนื่องจากหนึ่งในห้าแกร่งต่างก็ไม่ยอมให้ใครคนหนึ่งคนใดได้กุมอำนาจ เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใต้หล้า ฮ่องเต้ไท่ชิงองค์ที่สองจะไม่ปรากฏอย่างเด็ดขาด สถานการณ์ที่ดีที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ก็คือความสมดุล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...