หลี่ชิเย่เสมือนไม่ได้ยินกับคำซุบซิบนินทาเหล่านี้อย่างนั้น เพียงมองดูศิลาจารึกที่อยู่ตรงหน้าแผ่นนี้
ในขณะนี้ ดวงตาคู่นั้นของหลี่ชิเย่ได้กลับกลายเป็นลึกล้ำอย่างยิ่ง เสมือนดั่งทะลุผ่าศิลาจารึกแผ่นนี้ไปแล้วอย่างนั้น เหมือนว่าศิลาจารึกแผ่นนี้ไม่มีที่ที่จะหลบซ่อนได้อีกแล้ว เมื่ออยู่ภายใต้สายตาของเขา
หลี่ชิเย่ในเวลานี้นั่งสงบอยู่ตรงนั้น ไม่ได้มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่สะเทือนเลื่อนลั่น และไม่มีพลังที่เป็นที่หวาดผวาของผู้คน เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เป็นการนั่งอยู่ตรงนั้นธรรมดาๆ นั่นเอง คล้ายเป็นการชื่นชมทะเลเมฆที่อยู่ไกลออกไปด้วยท่าทีที่เหนื่อยหน่าย
แต่ว่า จางเจี้ยนชวนที่ยืนอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่นาทีนี้กลับสามารถรับรู้ได้แล้ว ในพริบตาเดียวนี้เองจางเจี้ยนชวนที่กำลังรินน้ำชาให้กับหลี่ชิเย่พลันรู้สึกได้ว่าตนเองเหมือนยืนอยู่ข้างหุบเหวลึกอย่างนั้น และเพียงชั่วพริบตาเดียวหลี่ชิเย่เสมือนได้กลับกลายเป็นเหวลึกที่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง ไม่ว่าใครก็ตามหากตกลงไปล่ะก็หมายถึงตายอย่างไร้ที่ฝัง อีกทั้งเหวลึกนี้ลึกไม่สามารถหยั่งถึง ไม่ว่าอย่างไรก็ตกลงไปไม่ถึงก้นเหวได้อย่างนั้น
ดังนั้น จางเจี้ยนชวนที่ยืนอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ พลันร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง และบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นโดยสัญชาตญาณขึ้นในใจทันที พริบตาเดียวนั่นเอง รู้สึกเหมือนว่าเหวลึกที่น่ากลัวดังกล่าวจะกลืนกินตนเองเข้าไปอย่างนั้น ทำให้ขาทั้งสองข้างอดที่จะอ่อนแรงไม่ได้
ทันใดนั้นเอง จางเจี้ยนชวนรับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของหลี่ชิเย่ บนตัวของเขาไม่ได้มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่สะเทือนเลื่อนลั่น และไม่ได้มีกลิ่นอายที่น่ากลัว แต่ว่า ภายใต้กายเนื้อที่ดูธรรมดาของเขาเหมือนได้ซ่อนเร้นพลังที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างได้ เหมือนว่าเขาก็คือเหวลึกที่น่ากลัวที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานะใดๆ ก็ตาม หากตกลงไปในเหวลึกเช่นนี้แล้วจะไม่ได้ผุดได้เกิด อย่าหวังจะขึ้นมาได้อีกตลอดกาล เกรงว่าจะต้องตายอย่างไร้ที่ฝังแล้ว
“ล้นแล้ว” เสียงที่เอ้อระเหยของหลี่ชิเย่ได้ดังขึ้น
ร่างของจางเจี้ยนชวนสั่นเทิ้มทีหนึ่ง เมื่อได้สติกลับมาจึงพบว่าน้ำชาได้ล้นออกมาจากถ้วยแล้ว เขารีบจัดการเช็ดให้แห้ง จากนั้นถอยไปอยู่ด้านหลังเงียบๆ ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่คำเดียว ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนหลี่ชิเย่
บรรดาศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองตากันและกัน เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ในศาลาพักร้อนกำลังพินิจพิเคราะห์ศิลาจารึกไร้อักษรอยู่ พวกเขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่า หลี่ชิเย่ที่เป็นฮ่องเต้สิ้นชาติพลันให้ความสนใจในศิลาจารึกไร้อักษรของพวกเขาขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เขา เขา เขาคงไม่ใช่มาบรรลุศิลาจารึกไร้อักษรของพวกเรากระมัง” มีศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินถึงกับมองตากันและกันทีหนึ่ง กล่าวด้วยท่าทีไม่ค่อยจะมั่นใจนัก
เนื่องจากพวกเขายากที่จะจินตนาการได้ว่า ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เล่าลือกันว่าชมชอบแต่นารี ไร้ความรู้ความสามารถจะรู้สึกสนใจในศิลาจารึกไร้อักษรของสำนักเสินสิงเหมินพวกเขาได้ เรื่องเช่นนี้ฟังดูแล้วออกจะไร้เหตุผลมากเหลือเกิน
“เกรงว่าจะจริง ดูไปแล้วเขาสนใจในศิลาจารึกไร้อักษรของสำนักเสินสิงเหมินพวกเราจริงๆ แล้ว” ศิษย์พี่สาวที่จ้องมองดูหลี่ชิเย่อย่างละเอียด มองเห็นสายตาของหลี่ชิเย่หยุดอยู่บนศิลาจารึกไร้อักษรจริงๆ ท่าทางเหมือนกำลังบรรลุศิลาจารึกไร้อักษรอยู่ และรู้สึกได้ว่าหลี่ชิเย่กำลังบรรลุศิลาจารึกไร้อักษรของพวกเขาอยู่
บรรดาศิษย์ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้ากันและกันเมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้ รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เล่าลือกันว่าไร้ความรู้ มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม บ้ากาม ไร้ความสามารถถึงกับต้องการบรรลุศิลาจารึกไร้อักษรของสำนักเสินสิงเหมินพวกเขาขึ้นมากะทันหัน ทั้งยังเป็นศิลาจารึกไร้อักษรที่ไม่เคยมีใครสามารถบรรลุได้มาเป็นพันล้านปี นับว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์เหลือเกิน
“ไม่เจียมตัว” ศิษย์พี่คนหนึ่งถึงกับเมินใส่และหัวเราะคริออกมา
ศิษย์พี่สาวผู้หนึ่งก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ศิลาจารึกไร้อักษรของพวกเราไม่เคยมีใครสามารถบรรลุได้ในพันล้านปีที่ผ่านมา ไม่ต้องพูดถึงไกล หลายปีที่ผ่านมา อัจฉริยะบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของแดนลัทธิราชันมาบรรลุก็ไม่ได้ผลอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวเขาที่เป็นเพียงฮ่องเต้สิ้นชาติที่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรมแล้ว”
“นั่นน่ะสิ เขาเข้าใจว่านี่คือการเล่นเกมที่สวมบทบาทคนในครอบครัวอย่างนั้นรึ? ศิลาจารึกไร้อักษรลักษณะเช่นนี้นอกจากอัจฉริยบุคคลที่ปราศจากผู้ต่อกรตลอดกาลเท่านั้นที่สามารถบรรลุได้ เกรงว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นๆ จะสามารถบรรลุได้อยู่แล้ว” ศิษย์น้องสาวอีกคนก็พูดสนับสนุนขึ้นมาบ้าง
ศิษย์พี่ผู้นี้กล่าวด้วยท่าทีเหยียดหยามว่า “คนที่ไร้ความสามารถเช่นนี้ไหนเลยเทียบกับมู่เส้าเฉินได้ ก็แค่ต้องการสร้างความแปลกใหม่และแหวกแนว ให้ตัวเองโดดเด่นเท่านั้น ทำให้ตัวเองต้องอับอายเท่านั้นเอง สวะที่บ้ากามไร้ความสามารถประเภทนี้ เหมาะกับขลุกอยู่แต่ในบ้านเป็นลูกที่ผลาญสมบัติพ่อแม่เท่านั้น”
บรรดาศิษย์คนอื่นๆ จำนวนไม่น้อยทยอยกันพยักหน้าสนับสนุน เห็นด้วยกับคำบอกเล่าของศิษย์พี่ตน
จางเจี้ยนชวนที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายได้แต่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ เมื่อเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างทยอยกันวิพากวิจารณ์หลี่ชิเย่ เขาที่อยู่ในฐานะศิษย์พี่รองก็ไม่สามารถปิดปากคนอื่นไม่ให้พูด เขารู้สึกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องภายในสำนักออกจะฟังความข้างเดียวมากเกินไปแล้ว โดยหารู้ไม่ว่าหลี่ชิเย่กับที่เล่าลือกันมันแตกต่างกันอยู่แล้ว
หลี่ชิเย่เหมือนไม่รับรู้อะไร คำพูดเหล่านี้ไม่ได้เข้าหูเขาเลย สายตาของเขาตกอยู่ที่ศิลาจารึกไร้อักษร หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงได้ละสายตากลับมาช้าๆ
“น่าเบื่อ…” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นยกน้ำชาขึ้นมาช้าๆ และค่อยๆ ลิ้มลองมันอย่างละเอียด
จางเจี้ยนชวนที่ยืนอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ทันใดนั้นเอง เขาตระหนักได้ว่าคำพูดคำนี้ของหลี่ชิเย่ไม่ได้พูดกับบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านั้น เป็นการพูดกับศิลาจารึกไร้อักษรแผ่นนี้ของเขา
ศิลาจารึกไร้อักษรแผ่นนี้ราชันแท้จริงเสินสิง ซึ่งเป็นปฐมบรรพบุรุษของสำนักเสินสิงเหมินพวกเขาเป็นผู้ตั้งขึ้นมากับมือ ผู้ที่ทราบประวัติความเป็นมาของศิลาจารึกไร้อักษรแผ่นนี้ก็ต้องลุกขึ้นแสดงความเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้ง และทำการบรรลุความลึกซึ้งยอดเยี่ยมขอวศิลาจารึกไร้อักษรนี้ด้วยจิตที่เคารพเลื่อมใสศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นผู้เยาว์ด้วยแล้ว ยิ่งไม่กล้าเอ่ยคำดูหมิ่นปฐมบรรพบุรุษสำนักเสินสิงเหมินของพวกเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...