“นั่นสิ” มีผู้ที่พูดสนับสนุนคำพูดของปิงฉือหานยวี่ พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ยังเข้าใจว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ในครั้งนั้นนะเนี่ย เวลานี้ก็แค่คนที่หมดที่พึ่งไร้ญาติขาดมิตรเท่านั้น หากรู้จักกาลเทศะก็ทำตัวเจียมเนื้อเจียมตัวแต่โดยดี ยังคงทำตัวสูงเด่น ยกหางตัวเองเสียสูงเช่นนี้ ช้าเร็วก็ยากจะหนีความตายได้พ้น”
เวลานี้ หลี่ชิเย่ได้หันหลังกลับมาด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย มองหน้าปิงฉือหานยวี่ทีหนึ่ง ยิ้มตามอารมณ์และกล่าวว่า “เจ้าก็คือองค์หญิงที่ว่าของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือคนนั้นน่ะสิ ทำไมรึ เล่นส่งองค์หญิงตัวปลอมแต่งเข้าวัง เวลานี้แปลงร่างทีหนึ่ง ก็เข้าใจว่าตนเองนั้นสูงส่งยิ่งแล้วสิ คิดว่าตัวเองคือหงส์ในหมู่คน ท่าทางสูงเด่นอย่างนั้นแล้วสิ”
ถูกหลี่ชิเย่พูดเฉลยออกมาต่อหน้าผู้คน ทำให้สีหน้าของปิงฉือหานยวี่เปลี่ยนไป จะอย่างไรเสียเรื่องหมั้นหมายในครั้งนั้นเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วหล้า เดิมทีนางถูกยกให้แต่งงานกับหลี่ชิเย่ เพียงแต่ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉืออาศัยช่องว่างในภายหลังเล่นตุกติกเท่านั้นเอง
เดิมทีเรื่องที่ไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ไม่ควรเปิดเผยอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการนำมาพูดในที่สาธารณะ เวลานี้หลี่ชิเย่กลับเปิดโปงเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คน ทำให้ปิงฉือหานยวี่รู้สึกอึดอัด สีหน้าบึ้งตึง
“คนเราจะมีค่าอยู่ที่รู้จักตนเอง” ปิงฉือหานยวี่จ้องมองหลี่ชิเย่ท่าทีเย็นชา และรู้สึกสะอิดสะเอียนอยู่บ้าง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “มิฉะนั้นล่ะก็ เป็นการหาเรื่องให้ตนเอง”
“ข้าเห็นด้วยกับคำๆ นี้” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมาและกล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า “อย่างน้อยคนที่พูดแล้วไร้สัจจะ ผู้ที่ละทิ้งความน่าเชื่อถือและศีลธรรมสัจธรรม วันๆ ก็อย่าได้ยกหางตัวเองขึ้นมา ท่าทางเหมือนต้องการอวดความงามของตน คนประเภทนี้เรียกว่าขี้เหร่แล้วเรื่องมาก เสียหน้าบรรพบุรุษของตนเองจนหมดสิ้น แม้แต่ความน่าเชื่อถือและศีลธรรมสัจธรรมที่เป็นขั้นพื้นฐานของความเป็นคนก็รักษาเอาไว้ไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าสายเลือดของตนสูงส่งเช่นใด มีแต่ทำให้สายเลือดบรรพบุรุษต้องแปดเปื้อนทั้งนั้น”
“เจ้า…” สีหน้าของปิงฉือหานยวี่เปลี่ยนไป พลันมีสีหน้าที่ดูไม่จืดยิ่งนัก คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่เท่ากับเป็นการตบหน้านางต่อหน้าผู้คนชัดๆ
“คุณชายหลี่ ระวังคำพูดของท่านด้วย!” เวลานี้แววตาหยางฟู่ฝานแสดงออกมาด้วยความโกรธ กล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา
หลี่ชิเย่ไม่มีอารมณ์ที่จะมองหน้าเขาสักครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ ยังคงมองดูหินที่อยู่บนขั้นบันไดหิน กล่าวด้วยท่าทีอย่างไรก็ได้ว่า “ทำไม เจ้าคิดจะสอนข้าว่าควรจะพูดจาอย่างไรรึ? ให้อาจารย์ของเจ้าที่ได้ชื่อว่าเป็นราชันแท้จริงคนนั้นมาพูดกับข้าก็แล้วกัน คราวก่อนรู้สึกเบื่อเลยละเว้นชีวิตให้เขาครั้งหนึ่ง คราวนี้ข้าจะเด็ดหัวของเขามาเป็นโถฉี่”
พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา ทำให้บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ผู้คนจำนวนไม่น้อยพลันมองดูหลี่ชิเย่ตาค้างพูดอะไรไม่ออก ทุกคนล้วนแล้วแต่เคยได้ฟังมาว่าฮ่องเต้องค์ใหม่เหลวไหล แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่แค่ได้ยินเท่านั้นเอง มาวันนี้จึงได้รู้ว่า เขาเหลวไหลจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็กล้าที่จะพูดออกมา โดยที่ปากไม่มีหูรูดแม้แต่น้อย
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของหยางฟู่ฝานเปลี่ยนไปมากทีเดียว ดวงตาทั้งสองจ้องมองด้วยความโกรธ เผยให้เห็นปณิธานการฆ่า จะอย่างไรเสียเขาจะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไร กับการที่หลี่ชิเย่ลบหลู่อาจารย์ของเขาต่อหน้าสาธารณะชน ยิ่งกว่านั้น ฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นเพียงสวะคนหนึ่งเท่านั้น
“ไม่รู้จักเจียมตน” เวลานี้ปิงฉือหานยวี่ก็ส่งเสียงฮึออกมาเย็นชา ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียนในตัวหลี่ชิเย่มากยิ่งขึ้นไปอีก แรกทีเดียวนางยังไม่รู้สึกว่าหลี่ชิเย่น่ารังเกียจมากเท่าไร เวลานี้รู้สึกว่าหลี่ชิเย่ยังคงมีสันดานที่ยากจะเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นคนที่ทำให้ผู้คนรู้สึกรังเกียจอะไรอย่างนั้น การที่เขามีจุดจบในวันนี้ก็เป็นการหาเรื่องของเขาเอง
“อาศัยเจ้า” หยางฟู่ฝันพลันโกรธขึ้นมา ดวงตาทั้งสองเผยปณิธานการฆ่าออกมา ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นไหนเลยต้องให้อาจารย์ข้าลงมือ ข้าต่อสู้แทนอาจารย์ก็แล้วกัน ขอรับการชี้แนะจากกระบวนท่าอันยอดเยี่ยมของเจ้า!”
จังหวะที่หยางฟู่ฝานก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งนั้น ท่าทางมีแต่ความเหยียดหยามในตัวหลี่ชิเย่ อีกทั้งดวงตาทั้งสองของเขาได้เผยปณิธานการฆ่าออกมาแล้ว
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดพลันกลั้นลมหายใจเอาไว้ เมื่อเห็นหยางฟู่ฝานกำลังจะลงมือต่อหลี่ชิเย่แล้ว กำลังความสามารถของหยางฟู่ฝานนั้นไม่เป็นที่กังขา ส่วนฮ่องเต้องค์ใหม่นั้นไม่ต้องกล่าวให้มากความ เกรงว่าหยางฟู่ฝานสามารถเอาชีวิตของเขาได้อย่างง่ายดาย
สำหรับทังเฮ่อเสียงที่ยืนอยู่ด้านข้างได้เผยท่าทางที่ยิ้มเยาะออกมา ดูมีท่าทีที่ดีใจเมื่อเห็นผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนอยู่บ้าง ถ้าหากหยางฟู่ฝานลงมือสังหารหลี่ชิเย่ เช่นนั้นแล้ว เรียกว่าเป็นสิ่งที่เขาอยากได้จนใจจะขาด
กล่าวสำหรับทังเฮ่อเสียงแล้ว ถ้าหากเขาต้องการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ จะต้องกำจัดฮ่องเต้องค์ใหม่ให้ได้ แต่ว่า จะอย่างไรเสียฮ่องเต้องค์ใหม่แต่งตั้งโดยฮ่องเต้ไท่ชิง เขาคือฮ่องเต้ที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงผู้เดียวเท่านั้น
โดยเฉพาะกล่าวสำหรับราชวงศ์โต่วเซิ่นพวกเขาแล้ว ต้องการปลดฮ่องเต้องค์ใหม่ก็ต้องฝ่านการประชุมตกลงกันแล้วจึงจะดำเนินการได้
ถ้าหากว่าเวลานี้หยางฟู่ฝานลงมือสังหารฮ่องเต้องค์ใหม่ล่ะก็ กล่าวสำหรับเขาแล้วคือเรื่องที่ดีที่สุดในโลก เนื่องจากเขาไม่จำเป็นต้องลงมือเอง เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็จะได้ไม่ต้องแบกรับข้อหาสังหารฮ่องเต้เพื่อชิงบัลลังก์แล้ว
“ทุกท่าน” ในขณะที่เหตุการณ์กำลังตึงเครียด ฉินเจี้ยนเหยาได้ก้าวออกมาและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เป็นการยากนักที่วันนี้ทุกท่านจะได้มารวมตัวกันที่นี้ ถือเป็นเรื่องมงคล อย่าให้ต้องมีการหลั่งเลือดกันที่นี่เลย”
เวลานี้ฉินเจี้ยนเหยาขมวดคิ้วทีหนึ่ง ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร นางรู้สึกตลอดเหมือนว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอย่างนั้น อีกทั้งลางสังหรณ์ของนางมีความแม่นยำตลอดมา
เมื่อฉินเจี้ยนเหยาออกมาพูดเช่นนี้แล้ว ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ยังจะมีใครไม่ให้เกียรติแก่ฉินเจี้ยนเหยา? ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ที่จัดโดยฉินเจี้ยนเหยา ในเวลานี้หากไม่ให้เกียรติฉินเจี้ยนเหยา ก็เท่ากับจงใจหาเรื่องฉินเจี้ยนเหยา
“น้อมฟังคำสั่งของเทพธิดาฉิน” หยางฟู่ฝานแสดงคารวะแบบจีนต่อฉินเจี้ยนเหยา โค้งคำนับ จากนั้นมองหน้าหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง ส่งเสียงฮึเย็นชาออกมา
“มา มา ทุกท่านดื่มเหล้า ดื่มเหล้า” ภายในใจของทังเฮ่อเสียงรู้สึกเสียใจอยู่บ้างเมื่อเห็นว่าการต่อสู้ไม่เกิดขึ้น ยกจอกเหล้าขึ้นคารวะ
“คารวะเทพธิดาฉิน คารวะแม่ทัพทัง คารวะทุกท่าน” เวลานี้บรรยากาศได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ผู้คนจำนวนไม่น้อยทยอยกันยกจอกเหล้าขึ้นคารวะกัน
ปิงฉือหานยวี่ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียนมากขึ้น เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ยังคงยืนอยู่ที่ตรงนั้น ไม่ต้องการรั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป จึงกล่าวต่อฉินเจี้ยนเหยาว่า “ข้าเพิ่งจะมาถึงเขาจิ่วเหลียนซาน ยังมีธระต้องไปจัดการ ขอตัวก่อนแล้วล่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...