“เคล็ดวิชาจิ่วมี่นะเนี่ย” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง นั่งอยู่บนพระราชอาสน์ตามอารมณ์ ขาทั้งสองข้างยังคงวางพาดอยู่บนโต๊ะทองคำขนาดใหญ่ตัวนั้น เหมือนว่าไม่รีบร้อนแม้แต่น้อยอย่างนั้น
“นี่คือการถ่วงเวลารึ?” มีผู้พูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมา เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่กับพระราชอาสน์โดยไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
“ต่อให้เป็นการถ่วงเวลาก็ไร้ประโยชน์ คำพูดที่พูดออกมาก็เหมือนเช่นน้ำที่ถูกสาดออกไป เขาสามารถถ่วงเวลาได้ระยะหนึ่ง แต่ไม่สามารถถ่วงเป็นชาติ อย่าว่าแต่เอื้อมมือคว้าเอามาตามอารมณ์เลย ขอเพียงเขาไม่สามารถบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่ได้ เขาก็ต้องยกบัลลังก์ให้กับราชันแท้จริงปาเจิ้น” ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสส่ายหน้า
สำหรับสองผู้เฒ่าที่อยู่ข้างกายปิงฉือหานยวี่นั้น ได้จ้องมองหลี่ชิเย่พร้อมตะครุบดั่งพญาเสือ สำหรับพวกเขาแล้วมองว่า การที่หลี่ชิเย่คิดบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่มันคือการฝันเฟื่องของคนปัญญาอ่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายื่นมือคว้าเอามาตามใจ
ดังนั้นผู้คน ณ เวลานี้ ที่พวกเขารอคอยก็คือรอให้หลี่ชิเย่ประกาศยกบัลลังก์ให้กับราชันแท้จริงปาเจิ้น ถ้าหากหลี่ชิเย่ในเวลานี้กล้าเล่นตุกติกล่ะก็ พวกเขาจะลงมือทันที จะไม่มีคำว่าเกรงใจอย่างเด็ดขาด
หลี่ชิเย่เพียงนั่งอยู่ที่พระราชอาสน์ด้วยท่าทีเรียบเฉย มองไประยะห่างไกล และเผยรอยยิ้มเฉยเมยขึ้นมา เหมือนว่าไม่ได้รีบร้อนแม้แต่น้อย ขณะที่ดวงตาทั้งสองเผยรอยยิ้มที่ลึกซึ้งออกมา
“รีบๆ บรรลุเสีย ให้ทุกคนได้เปิดหูเปิดตา ดูว่าเจ้าบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่ได้อย่างไรกัน” มีผู้ที่อยู่ห่างไกลออกไปอดที่จะร้องเสียงดังขึ้นมา เมื่อเห็นว่าหลี่ชิเย่ยังคงนั่งอยู่ที่บัลลังก์ฮ่องเต้โดยมีมีทีท่าว่าจะลงมือสักที
“นั่นสิ รีบจัดการบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่ให้ได้ พวกเราอยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว ต่างก็ไม่เคยพบเห็นเคล็ดวิชาจิ่วมี่มาก่อน วันนี้เจ้าบรรลุให้ได้เพื่อให้ทุกคนได้เปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี” คนอื่นๆ ทยอยพากันเอะอะโวยวายขึ้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เคยถูกหลี่ชิเย่ทำให้ต้องอัปยศก่อนหน้าครั้งอยู่ที่ป่าหิน ยิ่งแย่งกันเยาะเย้ย และร้องเสียงดังขึ้นมาว่า “ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ ล่ะก็ อย่าทำเป็นผู้กล้าอีกเลย รีบๆ ประกาศยกบัลลังก์ให้กับราชันแท้จริงปาเจิ้นเสีย จะอย่างไรเจ้าก็คือฮ่องเต้ที่โง่เขลาเบาปัญญาคนหนึ่ง ผู้คนทั่วหล้าใครบ้างไม่รู้ว่าเจ้าเป็นประเภทเลอะเทอะไร้ความสามารถ ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเจ้าก็คือคนที่สุดจะเยียวยาได้ จะเป็นอีกสักครั้งก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
ท่ามกลางป่าหิน อัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยถูกหลี่ชิเย่จัดการทำให้ต้องอับอายอย่างยิ่ง พวกเขาได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวง มาวันนี้สามารถถือโอกาสที่ดีเช่นนี้ทับถมซ้ำเติม ทำให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ต้องอับอาย โอกาสเช่นนี้พวกเขาจะพลาดได้อย่างไรกัน
ต่อให้พวกเขาไม่สามารถลงมือแก้แค้นด้วยตนเอง แต่ว่าก็สามารถถือโอกาสที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้ระบายความแค้นในใจสักครั้ง
อย่างไรก็ตาม หลี่ชิเย่ไม่ได้มองการเอะอะโวยวายเหล่านี้อยู่ในสายตา เพียงยิ้มเฉยเมยเท่านั้น
“เจ้ายังจะต้องใช้เวลานานเท่าไรจึงสามารถบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่ได้ล่ะ?” เวลานี้ปิงฉือหานยวี่ก็เอ่ยขึ้นช้าๆ นางไม่ได้รีบร้อนแม้แต่น้อย เนื่องจากนางได้กำไพ่ตายอยู่ในมือแล้ว ได้ฉกฉวยโอกาสที่ดีที่สุดให้กับราชันแท้จริงปาเจิ้นได้แล้ว คว้าความได้เปรียบที่ดีที่สุดไว้ในมือได้แล้ว เวลานี้ หนึ่งเดียวที่นางต้องระวังก็คือการเล่นตุกติกของหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่ไม่ได้ตอบคำถามของปิงฉือหานยวี่ เขายิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “เจ้าทุ่มเทขนาดนี้เพื่อให้ราชันแท้จริงปาเจิ้นได้รับประโยชน์ คิดแทนเข้า ถ้าหากว่าเจ้าต้องตกไปอยู่ในมือของข้า เจ้าคิดว่าเขาจะสู้ตายเพื่อช่วยเหลือเจ้าหรือไม่?”
“เรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด” ปิงฉือหานยวี่กล่าวท่าทีเย็นชา
“อย่างนั้นรึ? อย่าพูดคำพูดที่เกินไปนัก” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เวลานี้ข้าบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่ได้ เจ้าก็จะตกไปอยู่ในมือของข้า เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าอยากจะทำอะไรก็ทำได้”
“ก็ต้องรอให้เจ้าบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่ให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ปิงฉือหานยวี่ส่งเสียงฮึเย็นชาขึ้นมา และกล่าวเสียงเย็นชาขึ้นมา
“ข้าบังเกิดความคิดที่น่าสนใจขึ้นมากะทันหัน” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มที่ลึกซึ้งขึ้นมา และกล่าวว่า “ถ้าหากว่าเจ้าตกไปอยู่ในมือของข้า ข้าจะทำการสั่งสอนเจ้าอย่างดี สั่งสอนให้เจ้ากลายเป็นทาสรับใช้ของข้า เจ้าลองว่ามาซิว่า ราชันแท้จริงปาเจิ้นคู่หมั้นของเจ้าจะยังคงแต่งงานกับเจ้าหรือไม่? ยังคงต้องการผู้หญิงที่เคยเป็นทาสอย่างเจ้ามาก่อนหรือไม่?”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา สีหน้าของปิงฉือหานยวี่อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปมากทีเดียว พลันปรากฏใบหน้าที่เย็นยะเยือกขึ้นมา
“เจ้าพูดจาให้ดีๆ หน่อย…” สีหน้าของผู้เฒ่าทั้งสองที่อยู่ข้างกายปิงฉือหานยวี่พลันเปลี่ยนไป ร้องตวาดเสียงดัง ดวงตาทั้งสองเผยให้เห็นปณิธานฆ่าออกมา
แต่ว่า หลี่ชิเย่ไม่ให้ความสนใจพวกเขา เอามือลูบคางและหัวเราะ เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ทันใดนั้น ข้ารู้สึกว่าบนโลกนี้มีเรื่องบางเรื่องช่างน่าสนุกขึ้นมากะทันหัน ข้ากำลังพิจารณาอยู่ว่า จะไว้ชีวิตราชันแท้จริงปาเจิ้นเอาไว้ ถ้าหากข้าไว้ชีวิตเขาล่ะก็ เขามีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วชั่วชีวิตสามารถก้าวออกจากเงาทมิฬของข้าไปได้หรือไม่?”
ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้ากันและกันเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ทุกคนได้ตระหนักอีกครั้งว่า ฮ่องเต้องค์ใหม่ใช่สวะหรือไม่นั้นพูดยาก แต่ว่า เขาคือผู้ที่มั่วโลกีย์และไร้คุณธรรมอย่างแน่นอน มีเพียงคนที่มั่วโลกีย์และไร้คุณธรรมจึงคิดเช่นนี้ได้ และมีความคิดที่บ้าบิ่นเช่นนี้
ดาบอริยะกวานไห่ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว ดวงตาทั้งสองของเขาอดเพ่งมองไปข้างหน้าไม่ได้ ในเวลานี้เขามีความสงสัยอยู่บ้างแล้วว่า ความคิดที่บ้าบิ่นเช่นนี้ ฮ่องเต้ที่โง่เขลาเบาปัญญาคนหนึ่งสามารถคิดเช่นนี้ได้จริงหรือ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...