“ดาบอริยะ ท่านต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ การเป็นศัตรูกับข้าหาใช่การกระทำที่ชาญฉลาด” ทังเฮ่อเสียงกล่าวน่าเกรงขามขึ้นมา ปณิธานฆ่าจากแววตาก็นับว่าไม่ได้สะทกสะท้านเลย
“ไม่ต้องพูดไร้สาระให้มากความ ออกมารับความตายเสีย” ดวงตาทั้งสองของดาบอริยะกวานไห่ดุดันไม่เป็นมิตร ปณิธานดาบไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าเขาได้บังเกิดปณิธานฆ่าต่อทังเฮ่อเสียงขึ้นมาแล้ว ต่อให้ธาตุแท้ภายในของทังเฮ่อเสียงมีมากกว่านี้ ผู้ให้การสนับสนุนแข็งแกร่งมากกว่านี้ เขาก็จะสังหารทังเฮ่อเสียงให้ได้
ดาบอริยะกวานไห่ท่องเที่ยวไปทั่วหล้าผ่านอุปสรรคมานานัปการ เขาหาใช่ประเภทที่จะรับมือได้โดยง่าย เมื่อไรที่เขาได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว จะไม่สนใจว่าบุคคลผู้นี้เป็นศิษย์ของใคร มีผู้สนับสนุนเบื้องหลังอย่างไร ประหารก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง
ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ แน่นอน ถ้าหากเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวระหว่างดาบอริยะกวานไห่กับทังเฮ่อเสียงล่ะก็ ทุกคนต่างมั่นใจในตัวของดาบอริยะกวานไห่
จะอย่างไรเสีย ระหว่างพวกเขาคนหนึ่งคือระดับเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นเก้า อีกคนคือเทพแท้จริงสวรรค์ชั้นห้า กำลังความสามารถระหว่างพวกเขาห่างกันค่อนข้ามาก หากต่อสู้กันตัวต่อตัว ทังเฮ่อเสียงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของดาบอริยะกวานไห่อย่างแน่นอน
แต่ว่า ดูจากท่าทีของทังเฮ่อเสียงแล้ว เขาไม่ได้แค่ต้องการต่อสู้กับดาบอริยะกวานไห่ตัวต่อตัว ซึ่งสร้างความแปลกใจให้กับผู้คนจำนวนไม่น้อยว่า ทังเฮ่อเสียงจะมีท่าไม้ตายอะไรกันแน่
ฮึ…ทังเฮ่อเสียงส่งเสียงฮึน่าเกรงขามขึ้นมา ทวนยาวในมืออดที่กระแทกพื้นทีหนึ่ง ดวงตาทั้งสองเผยปณิธานฆ่าออกมา เขาเองก็ใช่ว่าจะเป็นผู้อ่อนแอที่ปล่อยให้ใครต่อใครมาบีบเล่นได้ตามอำเภอใจ
“เอาล่ะ เจ้าถอยไปก่อนเถอะ” จังหวะที่ทังเฮ่อเสียงกับดาบอริยะกวานไห่กำลังตึงเครียดอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้โบกมือและสั่งการกับดาบอริยะกวานไห่ว่า “ชีวิตสุนัขของเขาข้าจองแล้ว เจ้ายืนดูอยู่ข้างๆ ก็พอ”
ดาบอริยะกวานไห่ไม่ได้พูดอะไรออกมาทันที เพียงจ้องมองทังเฮ่อเสียงด้วยท่าทีเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “วันนี้นับว่าเจ้าโชคดี” พูดจบ เก็บดาบยาวแล้วถอยไปอยู่ด้านข้าง
ทังเฮ่อเสียงส่งเสียงฮึเย็นชาขึ้นมา ภายในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์กับดาบอริยะกวานไห่ยิ่งนัก ถูกดาบอริยะกวานไห่ดูถูกถึงเพียงนี้ เหมือนว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของดาบอริยะกวานไห่อย่างสิ้นเชิงอย่างนั้น แล้วจะให้เขาสบอารมณ์ในใจได้รึ?
หลี่ชิเย่มองดูทังเฮ่อเสียงแวบหนึ่ง หลังจากที่ดาบอริยะกวานไห่ได้ถอยกลับไปแล้ว ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “เจ้าคิดอยากจะตายแบบไหน? ถ้าหากต้องการตายอย่างสบายใจก็จัดการตัวเองเสีย แต่หากให้ข้าลงมือล่ะก็พูดยาก ตายอย่างไร้ที่ฝังก็นับเป็นเรื่องที่ปรกติมาก”
สีหน้าของทังเฮ่อเสียงดูไม่จืดถึงขีดสุด เริ่มจากการถูกดาบอริยะกวานไห่ดูถูกก็ให้แล้วกันไป เวลานี้มาถูกหลี่ชิเย่ดูถูกถึงขนาดนี้อีก ภายในใจของเขาโมโหจนแทบระเบิดออกมา
สมควรทราบว่า ในอดีตเป็นตัวเขาเองที่ดูถูกหลี่ชิเย่ ฮ่องเต้องค์ใหม่ในอดีตเป็นเพียงสวะคนหนึ่งเท่านั้นเอง ถูกคนอื่นเขาไล่ลงมาจากบัลลังก์ แม้แต่แผ่นดินก็ต้องเสียไป
เวลานี้เอากับเขาสิ ต้องมาถูกหลี่ชิเย่ดูถูกต่อหน้าผู้คนทั่วหล้าเช่นนี้ กระทั่งเชิดใส่ แม้ภายในใจของเขาก็รู้แล้วว่าหลี่ชิเย่นั้นแข็งแกร่งมากแล้ว แต่ว่า ในใจก็ยังคงไม่สามารถสะกดความโกรธนั้นลงไปได้
“เจ้าคิดว่าเจ้าปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้าอย่างนั้นรึ?” ทังเฮ่อเสียงส่งเสียงฮึเย็นชา แววตาเผยให้เห็นถึงความโกรธ
“ถูกต้อง ข้านี่แหละปราศจากผู้ต่อกร” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง และมองดูรอบๆ ทีหนึ่งด้วยท่าทีที่ตามอารมณ์ยิ่ง กล่าวเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ใครคิดว่าสามารถท้าสู้กับข้าได้ ให้ก้าวเดินออกมาข้าน่ะยินดีต้อนรับทุกเมื่อ ให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความไร้เทียมทานของข้าบ้างก็ดี”
การพูดต่อหน้าผู้คนทั่วหล้าตรงๆ ว่าตนเองนั้นปราศจากผู้ต่อกร มันช่างเป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่เพียงใด ช่างเป็นท่วงทำนองที่สูงเพียงใด ต่อให้ราชันแท้จริงที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ก็ไม่กล้าทำตัวโอ้อวดถึงขั้นประกาศว่าตนเองนั้นไรเทียมทาน แต่ว่า ฮ่องเต้องค์ใหม่กลับกล้าที่จะโอ้อวดประกาศว่าตนเองนั้นปราศจากผู้ต่อกร
ทุกคนได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้ ความจริงแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่เคยเปลี่ยน ขณะทุกคนยังเข้าใจว่าเขาเป็นผู้อ่อนแออยู่นั้น สิ่งที่เขาได้กระทำทุกคนต่างเข้าใจว่าเขาเป็นคนที่เหลวไหลโง่เขลาเบาปัญญา แต่ทว่า เวลานี้ทุกคนต่างรู้แล้วว่าเขาแข็งแกร่งแล้ว สิ่งที่เขาได้กระทำลงไป ทุกคนได้แต่เปรียบเปรยด้วยคำๆ เดียว นั่นก็คือบ้าระห่ำ
ความจริงแล้ว ธาตุแท้ของฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตลอดมา เพียงแต่ทุกคนต่างมองดูเขาในมุมมองที่แตกต่างกันเท่านั้น
“ทำไมรึ คงไม่เหมือนเช่นเมื่อครู่ทำตัวเป็นเต่าที่หดหัวอยู่แต่ในกระดองกระมัง?” หลี่ชิเย่มองดูทังเฮ่อเสียงและหัวเราะกล่าวว่า “แต่ว่า ต่อให้วันนี้เจ้าต้องการเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ก็ไม่อาจตามใจเจ้าได้”
ทุกคนต่างจ้องมองไปที่ทังเฮ่อเสียงอีกครั้ง ในเวลานี้เอง หากทังเฮ่อเสียงยังไม่กล้ารับคำท้าอีก ย่อมส่งผลต่อชื่อเสียงและบารมีของเขา ซึ่งทำให้ฐานะในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ของเขาเกิดผลกระทบในวงกว้างมาก ต่อให้สักวันหนึ่งเขาสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ เกรงว่าคงมีผู้คนจำนวนมากที่ไม่สยบให้กับเขา
“ตกลง…” ทังเฮ่อเสียงได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ดวงตาทั้งสองจ้องมองดูเหลี่ชิเย่ไม่เป็นมิตร เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าเป็นแม่ทัพ ชำนาญการนำทัพจับศึก ข้าต่อสู้กับศัตรูล้วนแล้วแต่เป็นการบุกตะลุยเข้าโจมตีข้าศึก…”
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดจาอ้อมค้อม” หลี่ชิเย่โบกมือตัดบทคำพูดของทังเฮ่อเสียง และกล่าวว่า “เจ้าก็พูดออกมาตรงๆ ว่าต้องการอาศัยพวกมากเข้าตะลุมบอนก็พอแล้ว พูดเรื่องนำทัพจับศึกอะไรของเจ้า”
ทังเฮ่อเสียงอดที่จะมีใบหน้าที่แดงก่ำไม่ได้ เมื่อถูกหลี่ชิเย่พูดดักคอเอาไว้ก่อน ที่เขาเกริ่นมามากมายก็เพื่อต้องการหาเหตุผลให้ตนพาคนลุยเข้าไปเป็นกลุ่ม
จะอย่างไรเสียภายในใจของทังเฮ่อเสียงก็รู้อย่างชัดเจนว่า ลำพังกำลังความสามารถของตนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่อยู่แล้ว ธาตุแท้ภายในที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็คือการร่วมมือกัน ดังนั้น เขาจึงต้องการให้กองทัพที่อยู่ด้านหลังของเขาร่วมมือกันเข้าต่อสู้กับหลี่ชิเย่ เพียงแต่เขินที่จะพูดออกมาเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...