ก่อนหน้านั้น แม้ว่าพวกเขาต่างก็รู้ว่าหลี่ชิเย่นั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่ว่ายังไม่มีแนวความคิดที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับระดับความแข็งแกร่งของหลี่ชิเย่ โดยพวกเขามองว่า หลี่ชิเย่ก็แค่แข็งแกร่งกว่าพวกตนมากมายเท่านั้นเอง ต่อให้สู้กันเดี่ยวๆ จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่ แต่หากพวกเขาทั้งสี่ร่วมมือกันก็คงไม่ถึงกับพ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย
หรือถอยไปก้าวหนึ่ง ต่อให้พวกเขาทั้งสี่ร่วมมือกันแล้วไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่ล่ะก็ แต่ว่า พวกเขายังคงมีท่าไม้ตายที่ปราศจากผู้ต่อกร เรียกว่าภายในใจของพวกเขายังคงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในท่าไม้ตายของพวกตน เข้าใจว่าภายใต้ท่าไม้ตายของพวกเขา ต่อให้หลี่ชิเย่แข็งแกร่งมากกว่านี้ พวกเขาก็สามารถปราบได้
แต่ว่า ในเวลานี้ ภายในใจของพวกโต้วจ้านหวงพลันสูญเสียความมั่นใจในท่าไม้ตายของตนไปแล้ว ในเวลานี้ ความเชื่อมั่นของพวกเขาสั่นคลอน ภายในใจของพวกเขาก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า ท่าไม้ตายของพวกเขาสามารถปราบหลี่ชิเย่ได้จริงรึ?
แม้จะกล่าวว่า ท่าไม้ตายของพวกเขามีโอกาสปราบฮ่องเต้ไท่ชิงได้อย่างแน่นอน ก่อนหน้านั้นพวกเขาก็เข้าใจว่าสามารถปราบหลี่ชิเย่ได้เช่นกัน แต่ทว่า เวลานี้พวกเขาไม่มีความมั่นใจแล้วอย่างสิ้นเชิง จะสามารถสยบหลี่ชิเย่ได้หรือไม่นั้น พวกเขาพลันไม่มีความมั่นใจเสียแล้ว
ในเวลานี้ พวกโต้วจ้านหวงทั้งสี่คนอดที่จะจ้องมองตาซึ่งกันและกัน
เฉกเช่นที่หลี่ชิเย่ได้พูดเอาไว้อย่างนั้น ในเวลานี้ที่พวกเขายังสามารถยืนอยู่ที่ตรงนี้โดยไม่หันหลังหนีไป พวกเขาต้องอาศัยความกล้าหาญเป็นอันมากทีเดียว
ถ้าหากละทิ้งเกียรติยศและศักดิ์ศรี ละทิ้งความเป็นตายร้ายดีของสำนัก ลำพังมุมมองส่วนตัวแล้วล่ะก็ ในเวลานี้พวกของโต้วจ้านหวงก็อยากจะหันหลังและหลบหนีไป หนีไปให้ไกลได้เท่าไรยิ่งดี ดีที่สุดชาตินี้อย่าได้พบเจอกับหลี่ชิเย่อีกเลย
แต่ว่า ในเวลานี้พวกเขาหนีไปไม่ได้ พวกเขาจะต้องยืนอยู่ที่ตรงนี้ ต่อให้ต้องตาย พวกเขาก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด
“เอาล่ะ เริ่มต้นได้แล้ว พวกเจ้ามีท่าไม้ตายอยู่มิใช่รึ? งัดออกมาใช้ก็แล้วกัน หากข้าลงมืออีกครั้งพวกเจ้ามีแต่ตายสถานเดียว นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเจ้าแล้ว” หลี่ชิเย่ที่ยืนเอามือไพล่หลัง เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่าทางไม่ได้ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง
พวกของโต้วจ้านหวงถึงกับอึดอัดหายใจไม่ออกเมื่อได้ฟังคำเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ พวกเขาผาดโผนมาชั่วชีวิต เคยถูกดูแคลนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ เมื่อถูกดูแคลนเช่นนี้แล้วพวกเขาก็ปราศจากเรี่ยวแรงไปตอบโต้ พวกเขาดูช่างไร้กำลังอะไรอย่างนั้น นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้รู้สึกสิ้นหวังมากที่สุด
ในเวลานี้ พวกของโต้วจ้านหวงสี่คนอดจ้องตากันและกันไม่ได้ พวกเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง สุดท้ายเข้าต่อสู้อย่างฉับพลัน กัดฟันและกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “แลกชีวิตแล้ว”
การก้าวมาถึงนาทีนี้ พวกของโต้วจ้านหวงไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ไม่ก็พวกเขาตาย ไม่ก็หลี่ชิเย่ตาย! เป็นทางเลือกเพียงทางเดียวเท่านั้น
พวกเขาได้หักหน้ากันเปิดเผยอย่างสิ้นเชิงกับหลี่ชิเย่เสียแล้ว ไม่มีช่องว่างจะกลับลำกันได้อีกแล้ว ต่อให้พวกเขาหันหลังหนีไปในเวลานี้ หลี่ชิเย่ก็ต้องตามล่าพวกเขาอยู่ดี และจะต้องทำลายล้างสำนักของพวกเขา
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตาย มิสู้พวกเขาถือโอกาสเสี่ยงให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ไม่แน่นักอาจมีโอกาสพลิกกลับได้ จะอย่างไรเสียท่าไม้ตายของพวกเขาจะมากหรือน้อยก็ต้องนำพาความหวังเล็กน้อยให้กับพวกเขา
ในเวลานี้ พวกของโต้วจ้านหวงต่างค่อยๆ ล้วงเอาอาวุธออกมาชิ้นหนึ่ง ท่าทางของพวกเขาดูหนักแน่นจริงจังยิ่งนัก และระวังอย่างยิ่ง นี่คือความหวังสุดท้ายของพวกเขา และเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียว
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น จากการที่พวกเขาค่อยๆ ล้วงหยิบเอาอาวุธชิ้นหนึ่งขึ้นมานั้น ปรากฎประกายแต่ละสายที่วูบวาบ ขณะประกายแต่ละสายเบ่งบานขึ้นมาคล้ายดั่งเป็นการผ่าเอาฟ้าดินแห่งหนึ่งเปิดออกมาอย่างนั้น กลิ่นอายที่ขมุกขมัวลอยล่อง ปรากฏกลิ่นอายที่เก่าแก่โบราณเข้ามาปะทะใบหน้า เสมือนดั่งยุคดึกดำบรรพ์ได้ปรากฏต่อหน้าทุกคนอย่างนั้น
ในเวลานี้ มองเห็นโต้วจ้านหวงได้หยิบเอาทวนวงเดือนมาเล่มหนึ่ง ปิงฉือเจี๋ยจุนได้หยิบเอาระฆังโบราณมาใบหนึ่ง ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดวัดจิ้งเหลียนกวานได้หยิบตราประทับหินมาอันหนึ่ง ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดแคว้นว่านเจิ้นนำดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมาเล่มหนึ่ง
ตูม…เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ภายใต้พลังขับเคลื่อนของพวกโต้วจ้านหวง ฉับพลันนั้น อานุภาพปฐมบรรพบุรุษสายหนึ่งพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ขณะที่อานุภาพปฐมบรรพบุรุษสายนี้พุ่งขึ้นฟ้านั้น ได้สั่นคลอนทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่โดยพลัน
ภายใต้กลิ่นอายที่น่ากลัวเช่นนี้ ทำให้สรรพสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ถูกทำให้หวั่นไหวและสยบ ขณะมองเห็นประกายสายหนึ่งที่พุ่งขึ้นท้องฟ้าอย่างรุนแรง ผู้คนจำนวนมากบังเกิดอารมณ์จะก้มลงกราบ เป็นอารมณ์ที่ต้องการก้มกราบปฐมบรรพบุรุษ กระทั่งมีผู้ที่ได้คุกเข่าลงกับพื้นแล้วโดยไม่ทันรู้ตัว
อาวุธสี่ชิ้น ทุกชิ้นต่างพวยพุ่งกลิ่นอายที่น่าเกรงขามปราศจากผู้ต่อกรออกมา อาวุธทุกๆ ชิ้นล้วนแล้วแต่แผ่อานุภาพปฐมบรรพบุรุษที่เก่าแก่โบราณที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองออกมา เหมือนว่าปฐมบรรพบุรุษที่นอนหลับสนิทอยู่ตรงนั้น วันใดตื่นขึ้นมาก็จะปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า
“อาวุธปฐมบรรพบุรุษ เป็นอาวุธปฐมบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่พวกเรา ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่พวกเรามีอาวุธปฐมบรรพบุรุษเหลืออยู่จริงๆ อีกทั้งยังมีถึงสี่ชิ้น” ระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิล้วนแล้วแต่ถูกทำให้หวั่นไหว และรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนักเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว
ทุกคนต่างก็รู้ว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นั้นคือหนึ่งในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่เก่าแก่โบราณที่สุด จิ่วมี่ที่เป็นปฐมบรรพบุรุษนั้นคือศิษย์ของเป้าปู่ ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เก่าแก่โบราณถึงระดับใดแล้ว
กล่าวได้ว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้ก้าวข้ามกาลเวลาที่สุดแสนจะยาวนาน เคยเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมมาหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งเกือบล่มสลายด้วยซ้ำ แต่ว่า ในที่สุดระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ก็ก้าวข้ามมาได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...