“น่าสนใจ” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย และไม่รู้สึกเหนือความคาดคิด
เวลานี้ด้านนอกพระราชวังมีผู้คนกลุ่มหนึ่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น คนกลุ่มนี้ล้วนแล้วแต่มีผมเผ้าสีขาว พลันที่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นผู้ที่อยู่ในระดับบรรพบุรุษ
ผู้ที่ละเอียดนิดหนึ่งมองดูให้ชัดเจนอีกหน่อย มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่จดจำบรรดาผู้เฒ่าที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นเหล่านี้ ทั้งหมดเป็นระดับบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวานทั้งสิ้น
ขณะที่ผู้ที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดคือฉินเจี้ยนเหยาที่งดงามน่าประทับใจ เวลานี้นางคุกเข่าอยู่กับพื้น ก้มหน้าลง เงียบสงัดไร้เสียง
ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังฉินเจี้ยนเหยาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นระดับบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวานทั้งสิ้น อีกทั้งในนั้นมีอยู่จำนวนไม่น้อยที่เป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะเทพแท้จริงขั้นอมตะ เวลานี้พวกเขาคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เดิมวัดจิ้งเหลียนกวานก็คือหนึ่งในห้าแกร่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่อยู่แล้ว กระทั่งกล่าวได้ว่าเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาห้าแกร่ง เคยมีสองเคล็ดวิชาของจิ่วมี่อยู่ในครอบครอง ในช่วงเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่งเรียกได้ว่าสามารถคานอำนาจกับราชวงศ์โต่ว่เซิ่นได้
กล่าวได้ว่า บรรดาระดับบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวานล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสิ้น ต่างก็เคยมีอำนาจบารมีสยบใต้หล้า ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้า แต่ว่า มาถึงวันนี้พวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่คุกเข่าอยู่ด้านนอกพระราชวัง เดินทางมาขอรับการลงโทษด้วยตนเอง รอคอยการตัดสินโทษจากฮ่องเต้องค์ใหม่เงียบๆ
แม้แต่ผู้สังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ก็ไม่กล้าส่งเสียงขึ้นมา เมื่อเห็นฉินเจี้ยนเหยาที่นำพาบรรดาระดับบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวานมาคุกเข่าอยู่ด้านนอกพระราชวัง ผู้คนจำนวนมากต่างอดที่จะกลั้นลมหายใจเอาไว้ไม่ได้ แม้แต่จะหายใจแรงก็ไม่กล้า
ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ปรากฏเสียงของความวุ่นวายดังขึ้นเป็นระลอก ไม่รู้ว่าใครที่ร้องเสียงแผ่วเบาขึ้นมาเสียงหนึ่ง “ฝ่าบาทเสด็จแล้ว”
ทุกคนทยอยกันมองไป เห็นหลี่ชิเย่เดินมาอย่างช้าๆ แม้ว่าบนตัวของหลี่ชิเย่ในขณะนี้ไม่ได้สวมชุดมังกร แค่สวมชุดธรรมดาเท่านั้น แต่ในสายตาของทุกคน เขาก็คือผู้ที่อยู่ในฐานะสูงสุด
“ฝ่าบาท…” ผู้ที่อยู่ด้านนอกพระราชวังต่างทยอยกันคุกเข่าลง เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ก้าวเดินออกมา หมอบกราบกับพื้นไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
“ฝ่าบาท…” ฉินเจี้ยนเหยาหมอบกราบกับพื้นหลังจากเห็นหลี่ชิเย่เดินมาถึง บรรดาระดับบรรพบุรุษที่อยู่ด้านหลังก็ทยอยหมอบกราบกับพื้น ไม่กล้าลุกขึ้นมา
หลี่ชิเย่มองดูฉินเจี้ยนเหยาแวบหนึ่ง กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “นังหนูฉิน การทำงานของเจ้านับว่ารวดเร็วอย่างยิ่งเลยนะ”
“ทูลฝ่าบาท วันนี้ข้าน้อยเดินทางมาขอรับพระอาญา” ฉินเจี้ยนเหยาไม่ได้มีอาการตระหนก และไม่ได้หวั่นเกรง ท่าทียังคงเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ว่าท่าทีและน้ำเสียงล้วนแล้วแต่เป็นไปด้วยความจริงใจและให้ความเคารพอย่างยิ่ง
อืมมหลี่ชิเย่เพียงตอบรับเบาๆ คำหนึ่งเมื่อได้ฟังคำพูดและน้ำเสียงที่จริงใจ และพยักหน้าช้าๆ เท่านั้น
“ทุกระดับชั้นของวัดจิ้งเหลียนกวานข้าไม่รู้จักกาลเทศะ ทรยศต่อฝ่าบาทอาศัยกำลังหมายกบฏ นับเป็นโทษมหันต์” ฉินเจี้ยนเหยากล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าน้อยรู้ตัวดีว่าไม่อาจหลีกหนีการถูกลงทัณฑ์ไปได้ ดังนั้น วันนี้จึงได้นำบรรดาเหล่าบรรพบุรุษของสำนักมาขอรับพระอาญาจากฝ่าบาท”
ในขณะนี้ บรรดาระดับบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวานหมอบกราบกับพื้นไม่กล้ากระดิกตัว ตัวสั่นงันงก สุดแล้วแต่หลี่ชิเย่จะลงโทษ
บรรดาระดับบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวานล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ยโสโอหังยิ่งนัก โดยเฉพาะบรรดาระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือที่เคยผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วน พวกเขาเองอาจจะไม่กลัวตาย พวกเขากระทั่งสามารถไปเผชิญกับความตายอย่างไม่สะทกสะท้านได้
แต่ทว่า พวกเขาไม่สามารถมองตาปริบๆ เห็นสำนักของตนต้องล่มสลาย ครั้งนั้น ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดของพวกเขาหวังจะชิงเอาเชือกเก้าเซียนมาจากมือของหลี่ชิเย่นั้น ได้รับการสนับสนุนและเห็นชอบจากพวกเขา
มาวันนี้ เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใต้หล้า ย่อมต้องทำลายล้างวัดจิ้งเหลียนกวานของพวกเขาแน่นอน ขณะที่พวกเขาคือผู้ริเริ่มนำพาให้สำนักของตนต้องล่มสลาย หากสำนักถูกทำลายล้างจริงๆ พวกเขาก็คือคนบาปตลอดกาลของวัดจิ้งเหลียนกวาน ละอายต่อเหล่าบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวาน ไม่มีหน้าไปพบปรัชญาเมธีของวัดจิ้งเหลียนกวานในปรโลก
ดังนั้น มาวันนี้พวกเขาทั้งหมดล้วนติดตามฉินเจี้ยนเหยามาคุกเข่าอยู่ด้านนอกพระราชวัง เพื่อรับการลงโทษจากฮ่องเต้องค์ใหม่ด้วยตนเอง
“ดูจะมีความจริงใจอยู่บ้าง” หลี่ชิเย่มองหน้าฉินเจี้ยนเหยาแวบหนึ่ง กล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “โทษตายบางอย่างไม่สามารถละเว้นได้อยู่แล้ว”
“ข้าน้อยรู้ตัวว่าโทษตายไม่อาจละเว้น” ฉินเจี้ยนเหยาไม่ได้ตื่นตระหนก และกล่าวว่า “ดังนั้น ข้าน้อยและเหล่าบรรพบุรุษอยู่ที่ตรงนี้ รอรับพระราชทานความตาย ข้าน้อยและบรรดาเหล่าบรรพบุรุษยินดีตาย เพื่อล้างความผิดอกตัญญูของวัดจิ้งเหลียนกวาน ขอฝ่าบาททรงเมตตา อภัยไว้ชีวิตให้กับศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ของวัดจิ้งเหลียนกวาน…”
“…พวกเขาเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่สามารถร่วมตัดสินนโยบายใดๆ ของวัดจิ้งเหลียนกวานได้ ความผิดใหญ่หลวงทั้งหลายทั้งปวงล้วนแล้วแต่มาจากพวกเรา ความผิดใหญ่หลวงทั้งหมดล้วนแล้วแต่เริ่มขึ้นที่พวกเรา ดังนั้น พวกเรามีโทษไม่อาจละเว้น มีเพียงความตายเท่านั้น” ฉินเจี้ยนเหยาในเวลานี้ได้พูดขึ้นช้าๆ ขอรับการลงโทษจากหลี่ชิเย่
แม้จะกล่าวว่า ก่อนหน้านั้น ขณะปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดตัดสินใจชิงเอาเชือกเก้าเซียนของหลี่ชิเย่นั้น นางเคยคัดค้านอย่างเต็มที่ และเคยหว่านล้อมบรรดาบรรพบุรุษให้ละทิ้งแผนการเช่นนี้ แต่เหล่าบรรพบุรุษ และปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดกลับไม่ฟังข้อเสนอของนาง กระทำการดื้อรั้นโดยไม่ฟังคำเตือนของผู้อื่น
มาวันนี้ ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดของพวกเขาพ่ายแพ้ วัดจิ้งเหลียนกวานของพวกเขากำลังเผชิญกับความตาย แม้ว่าเรื่องนี้หาใช่ความผิดของนาง นางกระทั่งเคยถูกต้องโทษจองจำ แต่ว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความอยู่รอดหรือล่มสลายของสำนัก ฉินเจี้ยนเหยายังคงรับเอามาเป็นภาระอย่างเด็ดเดี่ยว แบกรับความผิดใหญ่หลวง นำพาบรรดาเหล่าบรรพบุรุษมาขอรับโทษ ขอเพียงอาศัยความตายของพวกเขาแลกมาซึ่งการได้ไปต่อของวัดจิ้งเหลียนกวาน
ฉินเจี้ยนเหยารู้ดีว่า มาถึงวันนี้ วัดจิ้งเหลียนกวานของพวกเขาจบสิ้นแล้ว หลี่ชิเย่จะต้องลงมือทำลายล้างวัดจิ้งเหลียนกวานของพวกเขาแน่นอน สิ่งที่นางสามารถทำได้ในเวลานี้ก็คือ พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้มาซึ่งทางรอดของศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ แม้ว่าจะต้องพ่วงเอาชีวิตของตนเข้าไปด้วย นางก็ไม่หวั่น
“ไว้ชีวิตพวกเขานะเนี่ย” หลี่ชิเย่ยืนอยู่ที่ตรงนั้นไม่หวั่นไหวต่อสิ่งนี้ ยิ้มจางๆ ขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...