ความสัมพันธ์ระหว่างสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนลัทธิราชันมีความลึกซึ้งลุ่มลึกอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่า ระหว่างพวกเขาทั้งสามมีผู้ที่ต้องการเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวเสมอมา แต่ก็เกรงว่าหากวันใดระเบิดศึกสงครามขึ้นมา จะทำให้มือที่สามได้หยิบชิ้นปลามันไปครอง
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้สามผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนลัทธิราชันเป็นทั้งศัตรู และก็พันธมิตรระหว่างกัน และคงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งลุ่มลึกเช่นนี้ตลอดมา ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงไม่มีความขัดแย้งมากมายนัก ต่อให้มีความขัดแย้งเกิดขึ้น มันก็แค่ตบตีกันเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
ในขณะที่ฮ่องเต้ไท่ชิงสวรรคตนั้น แน่นอนที่สุดตระกูลมู่ย่อมมีแนวความคิดต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ เพียงแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวเท่านั้น เวลานี้ฮ่องเต้องค์ใหม่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวทั่วหล้าแล้ว ตระกูลมู่ของพวกเขาย่อมไม่ต้องการไปแปดเปื้อนน้ำครำเช่นนี้
ถ้าหากตระกูลมู่ของพวกเขาส่งกำลังทหารประชิดต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ วันใดที่ตระกูลมู่เปิดศึกกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ไม่แน่นักอาจเข้าทางตระกูลหลี่พอดี เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะทำให้ตระกูลหลี่ได้หยิบชิ้นปลามันไปครอง
ซุนเหลิ่งหยิ่งไม่รู้สึกหวั่นไหวกับคำพูดไล่แขกของปรมาจารย์ตระกูลมู่ ค่อยๆ จิบน้ำชา และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ใยพี่มู่ต้องรีบเร่งไล่แขกเล่า รอให้ข้าพูดให้จบเสียก่อนก็ยังไม่สาย”
“พี่ซุน หากท่านคิดจะเกลี้ยกล่อมข้าต่อไปก็คงไม่ต้องแล้วล่ะ” ปรมาจารย์ตระกูลมู่ส่ายหน้า และกล่าวว่า “น้ำครำเฉกเช่นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่พวกเราจะไม่ไปย่ำอยู่แล้ว ถ้าหากพี่ซุนคิดจะให้ตระกูลมู่พวกเรามีความคิดกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ล่ะก็ ขอให้พี่ซุนเลิกล้มความตั้งใจเสียเถอะ แน่นอน หากพี่ซุนเพียงแค่มาเป็นแขกที่ตระกลูมู่พวกเรา จิบน้ำชา คุยสัพเพเหระ แก่กะลาอย่างข้ายินดีต้อนรับอย่างยิ่ง”
“การให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นของพี่มู่ ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก” ซุนเหลิ่งหยิ่งจิบน้ำชาไปคำหนึ่ง และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “แต่ว่า ข้าทราบมาว่า เร็วๆ นี้ตระกูลมู่กำลังตามหาคนๆ หนึ่งอยู่”
“พี่ซุน เกรงว่าคงจะถามผิดคนเสียแล้ว” ปรมาจารย์ตระกูลมู่หัวเราะ ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจเรื่องราวทางโลกมานานมากแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับผู้เยาว์เหล่านั้น ข้าไม่ไปก้าวก่ายอีกแล้ว ส่วนจะตามหาคนหรือไม่นั้น ข้าไม่ทราบแล้วล่ะ”
“อย่างนั้นรึ?” ซุนเหลิ่งหยิ่งจิบน้ำชาต่อ ยังคงช้าๆ ไม่รีบร้อนอะไร หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ จึงเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ถ้าหากหูข้าฟังมาไม่ผิดล่ะก็ ข้าได้ข่าวว่า ตระกูลมู่ของพวกท่านกำลังตามหาคนหนุ่มที่ชื่อว่าคนโหดอันดับหนึ่งอยู่ ไม่ทราบว่าที่ข้าฟังมาเป็นเท็จหรือไม่อย่างไร”
“พี่ซุนไปรับรู้เรื่องนี้มาจากไหนกัน?” ครั้นซุนเหลิ่งหยิ่งพูดคำๆ นี้ออกมา สีหน้าของปรมาจารย์ตระกูลมู่พลันเปลี่ยนไป แววตาดูน่าเกรงขาม
สมควรทราบว่า ปรมาจารย์ตระกูลมู่นั้นคือระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งยิ่งคนหนึ่ง ยามที่แววตาของเขาดูน่าเกรงขามนั้น ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรต้องตัวสั่นงันงก
ซุนเหลิ่งหยิ่งนั่งตัวตรงจิบน้ำชาอยู่ตรงนั้นต่อไป และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ความลับไม่มีในโลก ต่อให้เป็นเรื่องราวที่ลับสุดยอดเช่นใด ก็ปกปิดเอาไว้ไม่อยู่ ข้าแค่ต้องการเตือนสติพี่มู่สักหน่อย ถ้าหากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ในครั้งนั้น ตระกูลมู่เป็นผู้ให้คำมั่นสัญญากับราชันแท้จริงต้วนยวี่เอาไว้…”
“…ถ้าหากราชันแท้จริงต้วนยวี่ทราบว่าตระกูลมู่หน้าไหว้หลังหลอกล่ะก็คงไม่ดีแน่ ด้วยนิสัยราชันแท้จริงต้วนยวี่ที่แข็งกร้าวและใช้อำนาจบาตรใหญ่ ดีไม่ดีจะทำให้ตระกูลมู่ต้องเปิดศึกกับตระกูลหลี่” ครั้นซุนเหลิ่งหยิ่งเอ่ยมาถึงตรงนี้ได้จิบน้ำชาคำหนึ่ง เพื่อให้หายคอแห้ง และกล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “ถ้าหากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ครั้งนั้นราชันแท้จริงต้วนยวี่อาละวาดที่ตระกูลมู่ ภายใต้การคุ้มครองของกู่อี้เฟย เรียกได้ว่าทะลุทะลวงตลอด ไม่มีผู้ใดต้านได้…”
“พี่ซุน ท่านกำลังข่มขู่คุกคามตระกูลมู่พวกเรารึ?” สีหน้าของปรมาจารย์ตระกูลมู่พลันเปลี่ยนไป อดที่จะมีใบหน้าบึ้งตึงและกล่าวน่าเกรงขามขึ้นมา
ซุนเหลิ่งหยิ่งยังคงไม่มีท่าทีตื่นตระหนก จิบน้ำชาแล้วพูดขึ้นมาช้าๆ ว่า “พี่มู่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแค่เตือนสติตระกูลมู่ของพวกท่านเท่านั้นเอง เพื่อป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”
“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขอบคุณในความหวังดีของพี่ซุนแล้ว” ปรมาจารย์ตระกูลมู่ส่งเสียงฮึเย็นชาออกมา สำหรับคำพูดของซุนเหลิ่งหยิ่งนั่น
“ยังไม่ต้องรีบขอบคุณข้า ข้ายังมีของขวัญชิ้นใหญ่มอบให้กับพี่มู่น่ะ” ซุนเหลิ่งหยิ่งกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าเชื่อว่าพี่มู่จะต้องชื่นชอบในของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นนี้แน่”
“ข้าตั้งใจฟังอยู่” ปรมาจารย์ตระกูลมู่ส่งเสียงฮึและพูดน้ำเสียงเย็นชา ย่อมไม่ต้องสงสัย เขาไม่พอใจใจตัวของซุนเหลิ่งหยิ่งเสียแล้ว
“ไม่ขอปิดบังพี่มู่” ซุนเหลิ่งหยิ่งกล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “ฮ่องเต้องค์ใหม่แห่งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ของพวกเราก็คือคนโหดอันดับหนึ่งที่พวกท่านต้องการตามหา!”
“พี่ซุน การล้อเล่นแบบนี้ไม่เห็นจะตลกสักนิด” ปรมาจารย์ตระกูลมู่ถึงกับตะลึงงันทีหนึ่ง จากนั้นสีหน้าเย็นชาและกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา
“พี่มู่ ข้าเหมือนเป็นคนที่พูดเล่นอย่างนั้นรึ?” ซุนเหลิ่งหยิ่งไม่รู้สึกตระหนกแม้แต่น้อย เอ่ยขึ้นช้าๆ ด้วยท่าทีที่นิ่งมาก
ปรมาจารย์ตระกูลมู่จ้องเขม็งไปที่ซุนเหลิ่งหยิ่ง หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ จึงได้กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ต่อให้พี่ซุนต้องการยืมดาบฆ่าคน เกรงว่าเรื่องนี้ออกจะบังเอิญเกินไปแล้วกระมัง”
“เรื่องราวบนโลกมักจะมีความบังเอิญอยู่บ้างเสมอ ภาษิตก็ว่าเอาไว้แล้วมิใช่รึ? หากไม่มีเรื่องบังเอิญคงไม่มีตำราให้อ่านกัน” ท่าทีซุนเหลิ่งหยิ่งเรียบเฉยมากและจิบน้ำชาคำหนึ่ง
“ยากจะทำให้คนเชื่อได้” ปรมาจารย์ตระกูลมู่ส่งเสียงฮึเย็นชาขึ้นมา
“แต่ ข้าก็มานั่งอยู่ตรงหน้าพี่มู่มิใช่รึ?” ซุนเหลิ่งหยิ่งกล่าวเรียบเฉยว่า “ถ้าหากข้าต้องการยืมดาบฆ่าคนจริงๆ พี่มู่คิดว่าวิธีการเด็กๆ แบบนี้สามารถทำให้คนอื่นเชื่ออย่างนั้นรึ? ตระกูลมู่จะยอมลงมือเพียงเพราะคำพูดคำเดียวของข้ารึ? มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
ปรมาจารย์ตระกูลมูจ้องเขม็งไปที่ซุนเหลิ่งหยิ่ง คำพูดของเขาก็นับว่ามีเหตุผลจริงๆ ถ้าหากว่าซุนเหลิ่งหยิ่งต้องการอาศัยวิธีการง่ายๆ เช่นนี้มายืมดาบฆ่าคนมันคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และซุนเหลิ่งหยิ่งก็คงไม่ถึงขั้นอ่อนหัดขนาดนี้
“แม้ว่าข้าซุนเหลิ่งหยิ่งจะไม่ใช่คนดีอะไร เรื่องชั่วๆ ทำมาก็ไม่น้อย มือสองข้างเต็มไปด้วยเลือด” ซุนเหลิ่งหยิ่งกล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “แต่ว่า พี่มู่ ท่านคิดว่าคำพูดคำหนึ่งของข้ามีค่าเท่าไร? ความน่าเชื่อถือของข้า และคำมั่นสัญญาของข้ามีค่าเท่าไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...