ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 2569

สรุปบท ตอนที่ 2569 เมืองหมิงลั่วเฉิง: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 2569 เมืองหมิงลั่วเฉิง – ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดย Internet

บท ตอนที่ 2569 เมืองหมิงลั่วเฉิง ของ ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล ในหมวดนิยายAction เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 2569 เมืองหมิงลั่วเฉิง
หลี่ชิเย่เห็นผู้เฒ่าก้มหัวแสดงคารวะ จึงกล่าวเรียบเฉยว่า “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”

แม้ว่าหลี่ชิเย่จะพูดแบบเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กล่าวสำหรับผู้เฒ่าแล้ว มันคือบุญคุณที่ช่วยชีวิต รู้สึกซาบซึ้งจนหาที่สุดมิได้ รีบคารวะอีกครั้งและกล่าวว่า “เก่ากะลาหวูโย่วเจิ้ง บุญคุณคุณชายที่ช่วยชีวิต ไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน วันหน้าหากมีอะไรต้องการเก่ากะลาล่ะก็ เก่ากะลาอย่างข้าพร้อมรับคำสั่ง เพื่อเป็นม้ารับใช้ให้ท่าน…”

อย่างไรก็ตาม คำพูดของผู้เฒ่าพูดยังไม่ทันจบ หลี่ชิเย่ก็ลอยล่องจากไปแล้ว และหายไปในเส้นขอบฟ้าเพียงชั่วพริบตา กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว เรื่องเช่นนี้เป็นความจริงที่ทำได้อย่างง่ายดาย เขาขี้คร้านจะไปสนใจ ไหนเลยจะไปใส่ใจเรื่องการซาบซึ้งบุญคุณของผู้เฒ่าเล่า

เมื่อผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้นมา มองดูร่างเงาของหลี่ชิเย่ที่หายไปในเส้นขอบฟ้า เขาอดที่จะทอดถอนใจเบาๆ ออกมา รู้ว่าวันนี้ตนเองได้พบยอดฝีมือเข้าให้แล้ว ยอดฝีมือที่สามารถสังหารปีศาจต้นไม้อย่างสบายๆ วิชาตัวเบาสูงส่ง ไหนเลยจะเข้าใกล้ได้เล่า

หลี่ชิเย่ล่องลอยด้วยการเหินฟ้าจากไป การย่างก้าวดั่งเมฆดุจสายน้ำ ดูเหมือนช้า แต่ความจริงแล้วหนึ่งก้าวหนึ่งอาณาเขต เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ก้าวข้ามแต่ละอาณาจักรของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น

ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นในฐานะที่เป็นระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิของแดนลัทธิราชัน อีกทั้งยังเคยเป็นระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่ปกครองใต้หล้ามาแล้ว เรียกได้ว่า เป็นระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่มีพื้นที่กว้างขวางไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง

แต่ทว่า ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่กว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ กลับมีผู้คนอาศัยอยู่น้อยมาก มีเมืองอยู่ไม่กี่แห่ง ภูเขาแม่น้ำมีลักษณะที่เหมือนพระอาทิตย์อัสดง ภาพรวมของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเสมือนดั่งเป็นคนแก่ที่อยู่ในบั้นปลายของชีวิต เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ทอดสายตามองออกไป สิ่งที่มองเห็นล้วนแล้วแต่เป็นควางเงียบสงัด ท่าทางเหมือนป่วยเป็นโรค แม้แต่สิงสาราสัตว์ก็ไม่ได้มีกลิ่นอายของความฮึกเหิมดั่งมังกร และเสือที่ผาดโผน ดูไปแล้วคือมีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรงอย่างนั้น

พื้นดินผืนนี้ดูไปแล้วช่างกันดารอะไรอย่างนั้น ช่างตกต่ำ เหมือนว่าระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธินี้พร้อมจะแตกละเอียดได้ทุกเวลาอย่างนั้น

ความจริงแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นเคยมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก ภายหลังได้ตกต่ำลงภายในชั่วข้ามคืน หลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นจำนวนประชากร หรือว่าสิงสาราสัตว์ของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิทั้งหมด ในด้านจำนวนนั้นล้วนแล้วแต่ไวต่อความรู้สึกยิ่ง

ในแต่ละยุคสมัยที่ผ่านไป สำนักที่มีกำลัง และมีผู้บำเพ็ญตนที่แข็งแกร่งเพียงพอ หากไม่อพยพไปไกลจากที่นี่ ก็ไปสวามิภักดิ์ต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ แต่ก็มีสำนักบางแห่งล่มสลายตามการตกต่ำลงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ

ส่วนสิงสาราสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะสิงสาราสัตว์ที่แข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง ต่างทยอยกันไปจากระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นไปอาศัยยังที่อื่นๆ ดั่งนกที่ดีย่อมเลือกกิ่งไม้ที่จะเกาะ

จากการตกต่ำลงทุกวันๆ ของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น ทำให้สมุนไพรหญ้าทิพย์ที่มีอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลดน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลให้สภาพโดยรวมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตกต่ำลงรวดเร็วยิ่งขึ้น

หลี่ชิเย่เหินฟ้าไปตลอดทาง ก้าวข้ามพื้นที่ของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นไปครึ่งหนึ่ง ทุกๆ ที่ที่ผ่านไปเรียกได้ว่ามีแต่ความเงียบเชียบ กระทั่งกล่าวได้ว่า ยากจะได้พบเห็นผู้บำเพ็ญตนที่เหินฟ้าดำดินสักคน

เฉกเช่นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่ตกต่ำเช่นนี้ สิ่งที่พบเห็นก็คือบรรดาหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณที่ลึกเข้าไปในป่า หากมีสักสามสิบถึงห้าสิบครัวเรือนก็ต้องถือว่ามีความเจริญรุ่งเรืองแล้ว อีกทั้งหมู่บ้านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ห่างกันมาก ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไม่ได้มีลักษณะของความเจริญรุ่งเรืองให้เห็นอย่างสิ้นเชิง

ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลักษณะเช่นนี้ พูดไปก็ยากจะมีคนเชื่อ หากบอกว่าเป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิระดับชั้นลัทธิราชัน ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลักษณะเช่นนี้ใกล้จะล่มสลายอยู่แล้ว

แต่ว่า กล่าวสำหรับราษฎรของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแล้ว มันคือความโชคร้ายอย่างหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง ที่โชคร้ายคือระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นตกต่ำ ทำให้ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิกลับกลายเป็นแห้งแล้วกันดาร ที่โชคดีคือ ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพวกเขายังคงอยู่ อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งอุดมสมบูรณ์ ทำให้สภาพโดยรวมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมดยังห่างไกลจากการล่มสลาย

หากจะกล่าวว่าการล่มสลายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง สำหรับสิ่งมีชีวิตของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธินั้นๆ เป็นความจริงที่มันดุจดั่งเป็นภัยพิบัติอย่างหนึ่ง คล้ายเป็นภัยทางธรรมชาติอย่างนั้น ทั่วฟ้าดินเสมือนดั่งพินาศย่อยยับไปอย่างนั้น จังหวะที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหนึ่งล่มสลายนั้น สิ่งมีชีวิตที่มีศักยภาพได้แต่หนีไปยังระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ และหรือไปอาศัยยังสถานที่อื่นๆ ส่วนสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีศักยภาพจะหลบหนีไปก็ได้แต่มองตาปริบๆ เห็นการล่มสลายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิดังกล่าว สุดท้ายก็จะถูกฝังไปด้วยกันกับการล่มสลายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธินี้

แน่นอน หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นก็มีวันแห้งเหือดสักวัน ปฐมบรรพบุรุษที่มีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ ก็ไม่สามารถทำให้ต้นกำเนิดสัจธรรมของตนเจริญรุ่งเรื่องไปได้ตลอดกาล

การที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสามารถเจริญรุ่งเรืองไปได้ตลอดกาลนั้น ต้องอาศัยยอดฝีมือ และปรัชญาเมธีรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่คอยค้ำจุน มีเพียงอาศัยพลังที่ไม่ขาดสายทำการหล่อเลี้ยงระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิดังกล่าว จึงสามารถทำให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธินี้สืบทอดต่อไปรุนสู่รุ่น และมีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป

เวลานี้สิ่งมีชีวิตของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ผู้บำเพ็ญตนก็มีน้อยลงทุกวัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชันแท้จริง และขั้นอมตะอีกเลย เมื่อไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงสืบต่อไปรุ่นสู่รุ่น เกรงว่าระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นก็ต้องก้าวเดินไปถึงจุดที่แห้งเหือดลงสักวัน ท้ายที่สุดระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมดก็จะแตกละเอียดตามมา

หลี่ชิเย่ไล่ติดตามไปตลอดทาง มองดูระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นที่รกร้างตกต่ำลงโดยไม่ได้มีความรู้สึกมากมายนัก พันล้านปีที่ผ่านมา สำนักต่างๆ ที่เจริญรุ่งเรืองตกต่ำเขาเห็นมามากแล้ว เรียกได้ว่าชาชินเสียแล้วล่ะ

“นี่มันไม่ง่ายดายเพียงแค่การอิ่มเอมสักมื้อเท่านั้น” หลี่ชิเย่ที่ไล่ติดตามมาตลอดทาง ในใจของเขามีความเขาใจที่เป็นภาพรวมแล้ว รู้ว่ามันจะต้องเป็นลักษณะเช่นใดต่อไป ในเวลานี้ จิตเทพที่แข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรของเขาได้ล็อกผืนแผ่นดินผืนนี้เอาไว้แล้ว ดังนั้น ไม่มีอะไรสามารถรอดไปจากดวงตาคู่นั้นของเขาไปได้

หลี่ชิเย่รู้ว่าการหายไปของเมืองไป่หลานเฉิงเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้นเอง บางทีภาพความน่ากลัวเช่นนี้อาจจะลุกลามไปทั่วแดนลัทธิราชันก็เป็นได้

จากการไล่ติดตามมาตลอดทาง สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้หยุดลง ปรากฎเมืองโบราณขนาดใหญ่โตยิ่งขึ้นที่เส้นขอบฟ้าด้านหน้า

เมืองโบราณแห่งนี้มีขนาดใหญ่โตยิ่งนัก มองออกไปจากที่ห่างไกล เกรงว่าเมืองโบราณแห่งนี้จะกินพื้นที่ถึงหมื่นลี้ เสมือนหนึ่งเป็นสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตหมอบอยู่กับพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต

เพียงแต่เมืองโบราณแห่งนี้ได้เสื่อมลงแล้ว บริเวณโดยรวมของเมืองโบราณหดตัวเล็กลง ในเมืองโบราณมีพื้นที่หลายแห่งถูกทอดทิ้ง สุดท้ายแล้ว สภาพโดยรวมของเมืองโบราณหดเล็กลงเหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบจากเดิม เมืองโบราณลักษณะเช่นนี้ในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นปัจจุบัน นับได้ว่าเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด

หลังจากที่บริเวณของเมืองโบราณถูกทิ้งร้างไปแล้วนั้น ได้คงเหลือไว้ซึ่งกำแพงเมืองที่สูงตระหง่านอยู่เป็นจำนวนมาก และสิ่งปลูกสร้างห้องหอที่ตั้งตระหง่านไม่ล้ม ดู่จากสภาพของกำแพงเมืองและห้องหอเหล่านี้แล้ว ช่างโอ่อ่างดงามอลังการอะไรอย่างนั้นในวันนั้น เมื่อหวนนึกไปถึงครั้งนั้น สถานที่แห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรืองเพียงใด บางที สถานที่ตรงนี้อาจเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้เคยปกครองใต้หล้า รับการเข้าเฝ้าจากทั่วทุกสารทิศ

มาวันนี้เหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง หญ้าและเถาวัลย์ที่ขึ้นรกร้างเท่านั้น

ตัวเขาที่เคยมีความเป็นอมตะไม่มีวันตาย จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงนั้นของเขาได้ผ่านการขัดเกลา และผ่านการทรมานในสภาพที่ยากลำบากมานับไม่ถ้วน เขาจึงมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่แกร่งดั่งหินผา ทุกสิ่งบนโลกมนุษย์ล้วนไม่สามารถทำให้หวั่นไหวได้

“หลังจากนี้อีกไม่นาน ความตายก็จะมาเยือน พวกเขากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย” หลี่ชิเย่มองดูแสงไฟสลัวที่อยู่ด้านหน้า ยิ้มเรียบเฉยและก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป

ย่อมไม่ต้องสงสัย เมืองหมิงลั่วเฉิงจะถูกเลือกให้เป็นเป้าหมายที่สอง เมื่อถึงตอนนั้น เมืองหมิงลั่วเฉิงก็จะเผชิญกับความตาย เมืองหมิงลั่วเฉิงทั้งเมืองจะหายไปอย่างสิ้นเชิง

การมาที่นี่ของหลี่ชิเย่ไม่ได้มาเพื่อช่วยเหลือเมืองหมิงลั่วเฉิง และไม่ได้มาเพื่อช่วยเหลือราษฎรของที่นี่ เขามาที่นี่เป็นเพราะมีเรื่องของเขาเองที่ต้องทำ

กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว การอยู่หรือไปของเมืองหมิงลั่วเฉิงเขาไม่เคยเคย ควรจะช่วยเมืองหมิงลั่วเฉิงหรือไม่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อน

เนื่องจากเขาไม่ใช่พระเจ้าที่ช่วยโลก เขาไม่มีเหตุผลจะต้องไปช่วยเมืองหมิงลั่วเฉิง

ความจริงก็คือ หลี่ชิเย่มองว่า การที่เมืองหมิงลั่วเฉิงจะอยู่หรือไปก็ไม่มีข้อแตกต่าง เนื่องจากต่อให้วันนี้เมืองหมิงลั่วเฉิงโชคดีคงอยู่ไว้ได้ สักวันก็ต้องก้าวเดินไปสู่ล่มสลาย

นับแต่อดีตเป็นต้นมา ความเจริญและความเสื่อมก็จะเป็นเช่นนี้ ไม่มีเจริญรุ่งเรืองตลอดไป และก็ไม่มีสิ่งใดไม่สลายเป็นนิรันดร์

ดังนั้น กล่าวสำหรับเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว ช่วยหรือไม่ช่วยในอนาคตก็ไม่มีอะไรแตกต่าง คงมีสักวันที่เมืองหมิงลั่วเฉิงก็ต้องเสื่อมโทรมและหายไป และกลายเป็นซากปรักหักพังเช่นเดียวกัน เพียงแต่เป็นปัญหาเรื่องของช้าและเร็วเท่านั้น

หลี่ชิเย่เดินทางต่อไปข้างหน้า สุดท้าย เขาได้มาถึงซากปรักหักพังที่หนึ่ง สถานที่แห่งนี้คือพื้นที่ใจกลางเมืองที่กว้างใหญ่ที่กลายเป็นซากปรักหักพัง ณ ที่ตรงนี้มีหญ้าขึ้นรกร้าง และเป็นที่อาศัยของงูเงี้ยวเขี้ยวขอ

ลักษณะของซากปรักหักพังเช่นนี้แตกต่างกับพื้นที่ที่เป็นซากปรักหักพังที่อยู่นอกเมือง ซากปรักหักพังนองเมืองแม้ว่าจะทิ้งร้างไปแล้ว แต่ยังคงสามารถมองเห็นตึกรามบ้านช่องที่ตั้งตระหง่านไม่ล้มลง ยังคงสามารถมองเห็นเค้าโครงของวิหารโบราณ และหอศักดิ์สิทธิ์ได้บางส่วน

แต่บริเวณซากปรักหักพังของที่นี่ สิ่งปลูกสร้างห้องหอล้วนแล้วแต่พังครืนลงมากลายเป็นเศษดินใต้พื้นดิน

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล