ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนี้ อาศัยเศษผนังที่แตกหักสามารถมองออกว่า สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ที่กลุ่มสิ่งปลูกสร้างตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้ เคยมีบ้านเรือนวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่ตรงนี้ กระทั่งที่ตรงนี้เคยเป็นศูนย์กลางของเมืองโบราณแห่งนี้ทั้งหมด
ด้านนอกของกองซากปรักหักพังมีเหล่าขอทานนอนขดตัวอยู่ท่ามกลางมุมของผนังและกำแพงที่แตกหัก กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา
หลี่ชิเย่อดที่จะยิ้มจางๆ ไม่ได้เมื่อเห็นบรรดาขอทานเหล่านี้ ใช้เท้าเตะที่ตัวขอทานเหล่านี้ไปตามอารมณ์เพื่อปลุกให้ตื่น กล่าวสำหรับผู้ที่กำลังนอนหลับลึกท่ามกลางความฝันแล้ว การที่ถูกเตะให้ตื่นโดยพลันนั้นเป็นเรื่องที่น่าโมโหอย่างยิ่ง แต่ทว่า เมื่อมองเห็นเงินและทองที่แวววาวอยู่ตรงหน้า ตาทั้งสองข้างของบรรดาขอทานเหล่านี้พลันถูกดึงดูดเอาไว้
“วันสุดท้ายของเมืองหมิงลั่วเฉิงกำลังจะมาถึงแล้ว ไปกินอย่างดีสักมื้อเถอะ อย่างน้อยก็ได้เป็นผีที่อิ่มหนำสำราญขณะเดินทาง” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และโยนเงินทองของมีค่าเหล่านี้ไปให้กับขอทานเหล่านี้ไปตามอารมณ์
“ให้ ให้ ให้พวกเราหรือ?” ทรัพย์สินเงินทองของมีค่าเหล่านี้ หลี่ชิเย่มองเหมือนของไร้ค่า ขณะที่ขอทานที่อยู่ตรงหน้ามองว่ามันเป็นความร่ำรวยและโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เสมือนหนึ่งภูเขาเงินภูเขาทองที่วางอยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างนั้น
“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉยทีหนึ่ง
“ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณนายท่าน” ขอทานเหล่านี้ดีใจเป็นที่สุด ตื่นเต้นจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาแล้ว โขกศีรษะพลาง ยื้อแย่งทรัพย์สินเงินทองของมีค่าเหล่านั้นที่อยู่ตรงหน้า
กล่าวสำหรับบรรดาขอทานเหล่านี้แล้ว มันเสมือนดั่งความฝันอย่างนั้น เหมือนว่ามีภูเขาทองภูเขาเงินตกลงมาท่ามกลางความฝันอย่างนั้น พวกเขาต่างเข้าใจว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ ต่างอดที่จะหยิกขาของตนอย่างแรงทีหนึ่ง เมื่อเห็นว่ามีความเจ็บปวดจึงรู้ว่าตนเองไม่ได้ฝัน มันคือความจริง ทำให้น้ำตาอุ่นๆ ของพวกเขาไหลอาบแก้ม
หลี่ชิเย่มองดูบรรดาขอทานเหล่านี้แย่งเอาทรัพย์สินเงินทองของมีค่าเหล่านี้ไปจนหมดแล้ว ได้สั่งการเรียบเฉยไปว่า “ไปแจ้งต่อชาวโลกว่า เมืองหมิงลั่วเฉิงกำลังจะพังพินาศย่อยยับแล้ว รีบหนีกันไปเถอะ หนีไปให้ได้ไกลเท่าไรยิ่งดี ถือโอกาสที่ยังมีลมหายใจอยู่ บางทีอาจสามารถรอดชีวิตไปได้”
บรรดาขอเทานเหล่านี้เมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้แล้ว ถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง แต่ว่า เมื่อรับเงินคนอื่นแล้วไหนเลยที่พวกเขาจะไม่เห็นด้วย จึงโขกศีรษะทันทีและกล่าวว่า “นายท่านโปรดวางใจ พวกเราจะต้องกระจายข่าวนี้ออกไป”
หลี่ชิเย่ไม่ให้ความสนใจพวกเขา เดินเข้าไปยังบริเวณซากปรักหักพังโดยลำพัง
หลังจากบรรดาขอทานเหล่านี้ได้ทรัพย์สินเงินทองของมีค่าไปแล้ว ไปสั่งอาหารนั่งกินกันก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นอาหารป่าอาหารทะเลที่ปรกติไม่กล้าแม้แต่จะคิดก็สั่งมากินกันมากมาย หลังจากอิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว บรรดาขอทานเหล่านี้ก็ไม่ลืมเรื่องที่หลี่ชิเย่ได้สั่งเอาไว้ จัดการเอาคำพูดของหลี่ชิเย่แพร่กระจายออกไป
ในเวลานี้ ทุกตรอกซอกซอยของเมืองหมิงลั่วเฉิงล้วนแล้วแต่ปรากฏข่าวลือสะพัดว่า “เมืองหมิงลั่วเฉิงจะล่มสลาย” ขึ้นมา แน่นอน ผู้คนจำนวนมากเมื่อได้ยินข่าวนี้แล้วไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น กระทั่งได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลังจากจิบน้ำชาหรือรับประทานอาหารไปแล้ว มีบ้างที่มีคนให้ความสนใจ และใส่ใจกับมันอย่างเงียบๆ
แน่นอน ในเมืองหมิงลั่วเฉิงจะมีใครให้ความสนใจกับข่าวนี้หรือไม่ มีคนที่ได้ยินข่าวนี้ก็หลบหนีออกไปจากเมืองหมิงลั่วเฉิงหรือไม่นั้น ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เรื่องที่หลี่ชิเย่ต้องใส่ใจ เขาแค่พยายามทำเท่านั้น ส่วนประชาชนของเมืองหมิงลั่วเฉิงสามารถหนีเอาชีวิตรอดได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับชะตาชีวิตของพวกเขาเองแล้ว
หลังจากที่หลี่ชิเย่เดินเข้าไปในบริเวณซากปรักหักพังแล้ว ก็ไปนั่งอยู่บริเวณที่เป็นมุมของกำแพงที่พังถล่มลงมา ถือว่าพอจะหลบฝนกันลมได้ จึงนั่งเดินลมปราณอยู่ตรงนี้ เสมือนดั่งนอนหลับแล้วอย่างนั้น
กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว ชีวิตความเป็นอยู่เช่นฮ่องเต้นั้นเขาชินกับมันได้ กินกลางดินนอนกลางทรายเขาก็ไม่ได้มีปัญหา สามารถรับได้โดยไม่มีปัญหา กล่าวสำหรับเขาแล้ว ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เหมือนเมฆหมอกที่ลอยผ่านไปเท่านั้นเอง
หลี่ชิเย่อาศัยบริเวณซากปรักหักพังแห่งนี้พักค้างแรม เข้าฌานบรรลุธรรม การทิ้งตัวนั่งลงท่ามกลางซากปรักหักพังนี้ดุจดั่งรากงอกอย่างนั้น ทันใดนั้น ตัวของเขาเสมือนหนึ่งได้หลอมรวมเข้าด้วยกันกับซากปรักหักพังนี้จนเป็นเนื้อเดียวกัน บริเวณก้นของเขาคล้ายดั่งมีรากงอกออกมาและชอนไชลงสู่ส่วนที่ลึกลงไปใต้พื้นดิน
หนึ่งคืนผ่านไป หลี่ชิเย่นังขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว แม้จะมีน้ำค้างลงหนาทึบก็ไม่ได้รบกวนต่อหลี่ชิเย่แม้แต่น้อย
“นี่…” เพิ่งจะเช้าตรู่ ขณะที่พระอาทิตย์เพิ่งจะขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า เสียงที่ไพเราะยิ่งเสียงหนึ่งดังขึ้น รบกวนการฝึกปรือของหลี่ชิเย่
ขณะที่หลี่ชิเย่ค่อยๆ ลืมตาสองข้างขึ้นมานั้น รองเท้าบู๊ทคู่หนึ่งได้ปรากฏอยู่ในสายตา มันเป็นรองเท้าบู๊ทที่งดงามมีราคายิ่งคู่หนึ่ง ตัดด้วยหนังของเสือดาววายุ บริเวณปลายรองเท้าหุ้มด้วยเงินชั้นเยี่ยม ฝังหยกสีเขียวไผ่ รองเท้าบู๊ทคู่ดังกล่าวแผ่กลิ่นอายดั่งวายุออกมา
แน่นอน สิ่งนี้หาใช่เป็นรองเท้าบู๊ทธรรมดาทั่วไปแน่ มันเป็นของวิเศษอย่างนหนึ่ง เมื่อสวมใส่รองเท้าบู๊ทเช่นนี้แล้ว ทำให้เจ้าของผู้สวมใส่สามารถวิ่งได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เวลาวิ่งหนีสามารถเพิ่มความเร็วของตนขึ้นได้ทันที
ในเวลานี้ หลี่ชิเย่เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ปรากฏผู้หญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด
ผู้หญิงคนนี้ท่าทางอายุราวสิบเจ็ดสิบแปด สวมใส่ชุดสีเขียวมรกต แลดูเปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา รูปโฉมของผู้หญิงคนนี้ละเอียดอ่อนงดงาม ผิวกายอ่อนนุ่มเบาบางอย่างยิ่ง แน่นอน หากเปรียบเทียบกับหลิ่วชูฉิง ฉินเจี้ยนเหยาระดับนั้นล่ะก็ นางไม่สามารถเทียบเคียงได้อยู่แล้ว
เมื่อเปรียบกับฉินเจี้ยนเหยาที่เป็นดั่งเทพธิดาแล้ว ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเสมือนดั่งเป็นสาวงามที่มีความโดดเด่นในระดับท้องถิ่นเท่านั้น กลิ่นอายที่สดใสสายหนึ่งโชยเข้ามาปะทะใบหน้า
อกที่ตั้งขึ้นของผู้หญิงคนนี้บ่งบอกว่านางโตเป็นสาวและเป็นผู้ใหญ่แล้ว นางมักจะแสดงท่าทีแอ่นอกขึ้นอยู่เสมอๆ ทำให้ทราบว่านางเป็นผู้หญิงที่ชอบเอาชนะและไม่ยอมแพ้คนหนึ่ง
“ข้าไม่ได้ชื่อนี่ ข้ามีชื่อ” หลี่ชิเย่มองดูผู้หญิงคนนี้แวบหนึ่ง ยิ้มกล่าวเรียบเฉยว่า “ช้าชื่อหลี่ชิเย่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...