กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นแล้ว ราชันแท้จริงมู่เจี้ยนก็คือผู้ที่อยู่สูงเด่น เหมือนเป็นผู้ที่อยู่สูงสุดบนสวรรค์ ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า ปราศจากผู้เทียบเทียมตลอดกาล
ตระกูลมู่นั้นไม่ต้องพูดถึงให้มากความ ชื่อเสียงบารมีของตระกูลมู่ได้สืบทอดมาชาติแล้วชาติเล่า ความไร้เทียมทานของตระกูลมู่นั้นได้เกรียงไกรมายุคแล้วยุคเล่า
ในความคิดของบรรดาผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดที่อยู่ในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น ตระกูลมู่ก็คือผู้ยิ่งใหญ่ ทอดสายตามองไปในแดนลัทธิราชันแล้วปราศจากผู้ต่อกร ผู้ยิ่งใหญ่ลักษณะเช่นนี้ สามารถเหยียบใครสักคนก็ได้ให้ตายตามอารมณ์ สามารถทำลายสำนักใดๆ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่งได้ตามอามรณ์
เวลานี้หลี่ชิเย่พูดออกมาตามอารมณ์ก็คือจะสังหารราชันแท้จริงมู่เจี้ยน ทำลายตระกูลมู่ คำพูดลักษณะเช่นนี้ไม่สามารถใช้คำว่าอันธพาลมาเปรียบเปรยได้อีกแล้ว เช่นนี้เรียกได้ว่าน่ากลัวสุดที่จะเทียบเทียมได้แล้ว
หากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้านั้น บางทีทุกคนก็จะหัวเราะเยาะหลี่ชิเย่ว่าไม่รู้จักเจียมตน โง่เขลาและอวดดี แต่ว่า เมื่อนึกถึงเคล็ดวิชาราชันแท้จริงขณะถูกเขาเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้านั้น มันก็เป็นแค่เชื้อไฟเล็กๆ เท่านั้นเอง
ดังนั้น จึงทำให้ทุกคนต้องใจหายใจคว่ำเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ถึงกับสั่นเทิ้มทีหนึ่ง เจ้าคนที่ชื่อหลี่ชิเย่คนนี้เรียกว่าน่ากลัวจนถึงขั้นที่พวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้อีกแล้ว
เมื่อหยางถิงอวี่ได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับมีสีหน้าที่ขาวซีด เขาเองก็เข้าใจได้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ผู้ที่เขาสามารถต่อสู้ได้อีกแล้ว นี่คือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะต้องเป็นระดับราชันแท้จริง หรือราชันแท้จริงขั้นอมตะเท่านั้นที่สามารถต่อสู้กับเขาได้
“ตกลง ข้าต้องเอาคำพูดของท่านไปแจ้งให้ทราบแน่นอน” หยางถิงอวี่กัดฟัน ขาดคำก็ไม่เยิ่นเย้อหันหลังจากไปทันที
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ และไม่ได้พูดอะไรมาก และหันหลังจากไปกลับไปยังบริเวณซากปรักหักพังอีกครั้ง เขาไม่ได้หยุดแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นยังไม่ได้มองดูนิกายซูสือแม้เพียงแวบเดียว
โอ้แม่จ๋า…หลังจากที่หลี่ชิเย่จากไปแล้ว ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่เข่าอ่อนทั้งสองข้างไม่สามารถยืนได้อีกต่อไป ทิ้งตัวนั่งลงกับพื้น ขณะผู้ที่ใช้ไม่ได้นั้นตกใจจนปัสสาวะอุจจะระเลตไปนานแล้ว
“เมืองหมิงลั่วเฉิงของพวก พวก พวกเรามีผู้ที่น่ากลัวมากถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ทุกคนต่างร่างสั่นเทาทีหนึ่ง ในเวลานี้ หลี่ชิเย่รั้งอยู่ที่บริเวณซากปรักหักพัง ทุกคนต่างรู้สึกว่าเหมือนมีสัตว์ยักษ์ยุคดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่งนอนอยู่ตรงนั้นอย่างนั้น หากมีใครไปรบกวนเขาแม้เพียงน้อยนิด หนึ่งฝ่ามือที่ตบลงมาก็จะกลายเป็นเนื้อบดไปทันที
ทุกคนต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน แน่นอน ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่นั้นมาถึงเมืองหมิงลั่วเฉิงตั้งแต่เมื่อใด
“นี่ นี่ นี่จะใช่ยอดอัจฉริยะบุคคลไร้เทียมทานมีกำเนิดมาจากระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นพวกเรานะ” มีกลุ่มคนรุ่นใหม่กล่าวด้วยความเพ้อฝันขึ้นมา
ผู้ที่เป็นผู้อาวุโสตบเข้าที่ท้ายทอยของเขาทันที หนึ่งฝ่ามือทีทำลายความเพ้อฝันน้อยๆ ของเขาสลายไป และกล่าวว่า “เจ้ายังไม่ตื่นจากฝันรึ? ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเราแห้งแล้งกันดารถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะสามารถให้กำเนิดผู้ปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้ได้อีกหรือ? ต่อให้รีดทั่วระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นก็ไม่สามารถปรากฏผู้ปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้อีกแล้ว!”
“ระดับที่ไร้เทียมทานเช่นนี้ หาใช่ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเราจะสามารถรองรับได้อีกแล้ว” คนอื่นๆ ก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
ไม่ง่ายนัก กว่าที่บรรดาศิษย์ทั้งหมดของนิกายซูสือจะทยอยกันได้สติกลับมา ไม่ง่ายนัก กว่าศิษย์บางส่วนที่ถูกทำให้ตกใจจนอ่อนแรงอยู่กับพื้นจะลุกขึ้นมาได้ บางคนกล่าวด้วยท่าทียังไม่หายจากอาการขวัญหนีดีฝ่อว่า “ในที่สุดก็จบสิ้นแล้ว พวกเรารอดแล้ว”
ตามหลักแล้ว กองทัพเหล็กนิลที่ล้อมปราบพวกเขาถูกทำลาย หยางถิงอวี่ก็พ่ายแพ้ และจวนลั่วก็ทรุดลงอย่างชนิดที่ไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้ นิกายซูสือของพวกเขารอดจากเคราะห์กรรมไปได้ในที่สุด พวกเขาสมควรทั้งตื่นเต้นและดีใจจึงจะถูก แต่ทว่า ในเวลานี้พวกเขากลับดีใจไม่ออก
เนื่องจากพวกเขาล้วนแล้วแต่ถูกทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ แม้หลี่ชิเย่จากไปนานแล้ว ขาทั้งสองข้างก็ยังคงสั่นเทาอยู่ แม้แต่เวลาพูดฟันก็ยังกระทบกัน
ถ้าหากเวลานี้ให้พวกเขาได้พบกับหลี่ชิเย่อีก เกรงว่าแค่หลี่ชิเย่เดินมาแต่ไกลพวกเขาก็คงคุกเข่าลงกับพื้นทันที แม้แต่ความกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองหลี่ชิเย่ก็ไม่มี เกรงว่าการยืนอยู่ตรงนั้นของหลี่ชิเย่ก็คือผู้ที่อยู่สูงสุด กดดันจนพวกเขาหายใจไม่ออก
ไม่ง่ายนัก กว่าหลินยี่เสวี่ยจะลุกขึ้นมาได้ หายใจหอบทีหนึ่ง กลับไปยืนอยู่ข้างกายของหวูโหย่วเจิ้ง
“คราวนี้เชิญให้คุณชายมาได้ และช่วยสำนักรอดมาได้ เจ้าเหนื่อยยากลำบากและมีผลงาน” หวูโหย่วเจิ้งเมื่อเห็นศิษย์ของตนปลอดภัย เขาเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลินยี่เสวี่ยยิ้มจื่อนๆ ทีหนึ่ง นางถึงกับเหม่อลอย ไม่สามารถเรียกสติกลับมา
ลองนึกภาพดู หลายวันก่อนหน้า นางยังแสดงท่าทีดุร้ายต่อหน้าหลี่ชิเย่ กระทั่งยังประกาศข่มขู่หลี่ชิเย่ว่าเดี๋ยวน่าดู กระทั่งบอกว่าจะสั่งสอนหลี่ชิเย่
ในเวลานั้น นางเองยังเชื่อมั่นตนเองเต็มเปี่ยม และมั่นใจเต็มที่ในตัวเอง โดยตัวเองเคยคิดว่าถ้าหากหลี่ชิเย่ยังคงพูดจาปล่อยข่าวลือสร้างความเข้าใจผิดล่ะก็ นางก็จะลงมือสั่งสอนหลี่ชิเย่ให้หลาบจำ
เวลานี้มานึกอีกที ตนเองนั้นเปรียบเสมือนเป็นแกะตัวน้อยๆ ตัวหนึ่ง ไปแสดงแสนยานุภาพต่อหน้าสัตว์ยักษ์ดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่ง ขอเพียงเจ้าสัตว์ยักษ์ดึกดำบรรพ์ตัวนี้อ้าปากสักนิดก็สามารถกินตัวนางเข้าไป ทั้งยังไม่พอยัดซอกฟันเสียด้วยซ้ำ
เวลานี้มานึกๆ ดูแล้ว ตลบอบอวลรู้สึกว่าตนเองในเวลานั้นช่างโง่เขลาอะไรอย่างนั้น ช่างน่าขันอะไรอย่างนั้น ต่อหน้าหลี่ชิเย่ก็เสมือนหนึ่งเป็นตัวตลกอย่างนั้น
เฉกเช่นผู้อยู่ในฐานปราศจากผู้ต่อกรเช่นหลี่ชิเย่ ตนเองไปทำอวดแสนยานุภาพต่อหน้า ซ้ำยังแสดงท่าทางดุร้ายเช่นนั้น เขาไม่ได้ยื่นนิ้วมือมาบี้ตนเองให้ตายก็นับว่าเมตตาอย่างยิ่ง และมีน้ำใจโอบอ้อมอารีแล้ว
เวลานี้ นิกายซูสือของตนมีภัย เขายังลงมือเข้าช่วย นี่นับเป็นจิตใจที่ยิ่งใหญ่เพียงใด เป็นความใจกว้างเช่นใด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...