ตอนที่ 2714 กัวเจียหุ้ย
ในที่สุด กลุ่มของกัวเจียหุ้ยก็เดินทางกลับถึงสำนัก หลังจากพวกเขากลับไปถึงสำนักแล้ว รีบรุดไปรายงานต่อผู้เป็นอาจารย์ในทันที
นิกายหู้ซานจงก็คือสำนักที่เป็นชาติกำเนิดของพวกกัวเจียหุ้ย ในอดีตก่อนหน้านานมากๆ มาแล้ว นิกายหู้ซานจงนับว่ามีชื่อเสียงมากในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร
กาลเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้ นิกายหู้ซานจงได้เสื่อมลงแล้ว กลายเป็นสำนักชั้นสองชั้นสามของระบบถ่ายทอดทางลัทธิเซียนมารไปแล้ว ไม่สามารถนำมาเอ่ยเทียบเคียงกับสำนักชั้นหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร ซึ่งห่างชั้นกันมากได้อีกแล้ว
สมควรทราบว่า นิกายหู้ซานจงในยุคที่รุ่งเรืองอยู่นั้น เรียกได้ว่ามีอำนาจสยบใต้หล้า กระทั่งสยบไปทั่วแดนลัทธิเซียน เคยเป็นผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารมาช่วงระยะเวลานานมากอยู่ช่วงหนึ่ง
การที่สำนักของพวกเขาตั้งชื่อว่านิกายหู้ซานจง เรียกได้ว่ามีประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาเลย
ถ้าหากยืนอยู่ภายในนิกายหู้ซานจงล่ะก็ ไม่ว่าจะยืนอยู่ที่สถานที่แห่งใดก็ตาม เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็สามารถมองเห็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกหนึ่งที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่บนท้องฟ้า ลักษณะของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตั้งสูงตระหง่านอยู่ตรงนั้น มันเสมือนหนึ่งได้กลายเป็นผู้บงการทั่วฟ้าดินอย่างนั้น เสมือนหนึ่งได้กลายเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรไปแล้ว
ภูเขาลักษณะเช่นนี้หาใช่เป็นภูเขาที่สูงที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร แต่ทว่า มันกลับมีท่าทางของการปกครองทั่วหล้า ก้มมองหมื่นแดน เมื่อมันตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้ไม่มีชื่อ โดยที่มันไม่มีชื่อมาตลอดพันล้านปีที่ผ่านมา แต่ว่า ตามตำนานเล่าว่า บนยอดเขาสูงสุดของภูเขาลูกนี้มีถ้ำอยู่ถ้าหนึ่ง ถ้ำดังกล่าวมีชื่อว่า ‘ถ้ำเซียนมาร! ’
แม้ว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์จะไร้ชื่อ แต่ว่า ในยุคสมัยช่วงหนึ่งที่ยาวนานมาก ถ้ำเซียนมารเคยเป็นที่รู้จักกันทั่วในแดนลัทธิเซียน ช่วงระหว่างกาลเวลาที่ยาวนานมากช่วงนั้น ผู้คนใต้หล้าล้วนแล้วแต่ทราบว่าถ้ำเซียนมารนั้นคือตัวแทนหมายถึงผู้เฒ่าอมตะ!
เพราะอะไรสำนักนิกายหู้ซานจงจึงมีชื่อว่านิกายหู้ซานจงเล่า นั่นเป็นเพราะพวกเขาเป็นผู้เฝ้าปกป้องภูเขาลูกนี้ เฝ้าปกป้องถ้ำเซียนมาร ดังนั้น จึงได้ตั้งชื่อว่านิกายหู้ซานจง
สำนักนิกายหู้ซานจง คือสำนักที่จัดตั้งขึ้นมาโดยศิษย์ผู้หนึ่งของผู้เฒ่าอมตะ
เนื่องจากชั่วชีวิตของผู้เฒ่าอมตะนั้น เวลาส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่บำเพ็ญเพียรและบรรลุธรรมอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้ ด้วยเหตุนี้เอง ศิษย์ของผู้เฒ่าอมตะผู้นี้จึงได้มาก่อตั้งนิกายหู้ซานจงที่ตรงนี้ ด้วยเจตนาคุ้มครองปฐมบรรพบุรุษ
ตามหลักแล้ว ผู้เฒ่าอมตะในฐานะที่เป็นปฐมบรรพบุรุษตลอดกาล ไหนเลยต้องให้ศิษย์มาคุ้มครองเล่า?
เนื่องจากมีการเล่าลือกันว่า ทุกๆ ยุคสมัยที่ผู้เฒ่าอมตะมีการกลับชาติมาเกิดใหม่ เขาก็จะมาถือกำเนิดขึ้นที่ถ้ำเซียนมารแห่งนี้ ดังนั้น ภารกิจที่สำคัญที่สุดของนิกายหู้ซานจงก็คือ ให้การคุ้มครองการกลับชาติมาเกิดใหม่ของผู้เฒ่าอมตะ
กล่าวได้ว่า ระหว่างที่ผู้เฒ่าอมตะกลับชาติมาเกิดใหม่ชาติแล้วชาติเล่านั้น กำลังความสามารถของนิกายหู้ซานจงเรียกได้ว่าได้ก้าวถึงจุดสูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร ในช่วงระยะเวลานั้น นิกายหู้ซานจงได้เคยให้กำเนิดเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาล และราชันแท้จริงปราศจากผู้ต่อกรมาแล้วไม่รู้จำนวนเท่าไร
ในยุคสมัยนั้นเรียกได้ว่าไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนต่อนิกายหู้ซานจงได้ พวกเขาเสมือนดั่งเป็นเทพผู้พิทักษ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารทั้งหมดอย่างนั้น ไม่เพียงแค่ปกป้องให้กับผู้เฒ่าอมตะที่กลับชาติมาเกิดเท่านั้น ขณะเดียวกันก็เฝ้าปกป้องระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารอีกด้วย
น่าเสียดายท้ายที่สุดแล้วผู้เฒ่าอมตะได้หายตัวไป และไม่ปรากฏตัวอีกเลย และไม่ได้มีการกลับชาติมาเกิดอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้เอง จากกาลเวลาที่เคลื่อนผ่านไป ท้ายที่สุดแล้วนิกายหู้ซานจงค่อยๆ อ่อนแอลง และทรุดลงอย่างไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้อีกนับจากนั้นเป็นต้นมา จากสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร ค่อยๆ ตกต่ำลงกลายเป็นสำนักชั้นสองชั้นสาม
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา นิกายหู้ซานจงได้ถือเอาการเฝ้าปกป้องตรงนี้เป็นหน้าที่ของตน ในวันนั้นของทุกปีก็จะมีพิธีเซ่นไหว้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์จากระยะห่างไกล และเป็นการเซ่นไหว้ผู้เฒ่าอมตะจากระยะไกลในตัวไปด้วย
มาวันนี้ แม้ว่านิกายหู้ซานจงไม่ได้มีความโชติช่วงชัชวาลเหมือนเช่นอดีตอีกแล้ว ไม่ได้แข็งแกร่งเฉกเช่นอดีตอีกต่อไป แต่ว่า นิกายหู้ซานจงยังคงมีศิษย์อยู่หลายพันคน ในบรรดาสำนักชั้นสองชั้นสามนั้น กำลังความสามารถของพวกเขาจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้
หลังจากที่กัวเจียหุ้ยพวกเขากลับมายังสำนักแล้ว พวกเขาได้นำเอาสมุนไพรเซียนหญ้าทิพย์ที่หามาได้ส่งมอบให้กับสำนักเต็มจำนวน แลกเป็นผลงานจากทางสำนัก
เมื่อเหล่าผู้เป็นอาจารย์เห็นกลุ่มของกัวเจียหุ้ยที่เป็นศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่เก็บเกี่ยวผลได้มากมายเช่นนี้บรรดาผู้เป็นอาจารย์ต่างพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และชื่นชมและให้การชมเชยพวกเขา
กล่าวสำหรับศิษย์อย่างพวกของกัวเจียหุ้ยแล้ว การไปหาสมุนไพรหญ้าทิพย์ในครั้งนี้ของพวกเขานับว่าเก็บเกี่ยวมาได้อย่างอุดมสมบูรณ์ทีเดียว ในแง่ของสำนักแล้วถือว่าสร้างผลงานได้ไม่น้อยทีเดียว ดังนั้น ศิษย์ทุกคนจึงดีใจมากเป็นพิเศษ
สุดท้าย หลี่เจี้ยนคุนในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ได้รายงานเรื่องที่กัวเจียหุ้ยช่วยหลี่ชิเย่กลับมาต่อผู้อาวุโสของสำนัก
ผู้อาวุโสของนิกายหู้ซานจงได้ตรวจสอบหลี่ชิเย่ครั้งหนึ่ง ส่ายหน้า ละกล่าวว่า “จิตเทพไม่หลงเหลืออีกแล้ว ช่วยไม่ได้ เป็นเพียงคนพิการคนหนึ่ง ทั้งชีวิตคงได้แต่นอนติดเตียงแล้ว”
ศิษย์ทุกคนต่างรู้ว่า แม้แต่ผู้อาวุโสยังสรุปลงความเห็นเช่นนี้ ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าได้กลายเป็นคนพิการแล้วอย่างแท้จริง กลายเป็นมนุษย์ผักแล้วอย่างแท้จริง
แน่นอนที่สุด แม้ว่าทักษะยุทธของผู้อาวุโสผู้นี้จะไม่เลวนัก อาศัยกำลังความสามารถของเขาไม่สามารถมองเห็นสภาพของหลี่ชิเย่ได้อย่างทะลุปรุโปร่งได้อยู่แล้ว แน่นอน ในความคิดของเขาหลี่ชิเย่ ย่อมต้องเป็นคนพิการไปแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...