ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 2718

สรุปบท ตอนที่ 2718 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ตอน ตอนที่ 2718 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ จาก ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 2718 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายAction ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 2718 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์

จ้าวจื้อถิงคิดทบทวนคำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ความจริงแล้ว ในอดีตนางไม่เคยนึกถึงเรื่องเช่นนี้มาก่อน การฝึกปรือทุกอย่างของนางเป็นไปตามขั้นตอนตลอดมา เป็นการฝึกที่ทำตามวิธีการที่อาจารย์ของพวกเขาถ่ายทอดมาให้โดยสิ้นเชิง

ความจริงแล้ว วิธีการต่างๆ นานาที่อาจารย์ของพวกเขาถ่ายทอดมานั้น ก็เป็นวิธีเดิมๆ ที่มีการสืบทอดต่อกันมาของนิกายหู้ซานจงพวกเขา เป็นหลักการเรียนการสอนอย่างหนึ่งของนิกายหู้ซานจงไปแล้ว

“ไม่เพียงแต่เจ้าที่โง่จนได้ที่ อาจารย์ของพวกเจ้าก็โง่จนสุดจะเยียวยา ไร้สมอง วิธีการแบบนี้สามารถได้กลิ่นบูดมาแต่ไกล กี่ปีผ่านไปแล้วยังคงยึดถือวิธีการเก่าๆ ไม่มีความก้าวหน้า เคล็ดวิชาที่ปรมาจารย์ถ่ายทอดมานั้นมีไว้ให้ชนรุ่นหลังได้พัฒนาใหม่ๆ ขึ้นมา” หลี่ชิเย่เอ่ยเรียบเฉยขึ้นมาขณะนอนอยู่ตรงนั้น

จ้าวจื้อถิงถึงกับยิ้มเจื่อนๆ ไม่กล้าพูดอะไรออกมา จะอย่างไรเสียการวิพากวิจารณ์อาจารย์นั้น ถือเป็นการไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่งในนิกายหู้ซานจงของพวกเขา

“ไปทำความเข้าใจและตระหนักให้ดี ละทิ้งกฎเกณฑ์เก่าๆ อาศัยใจของตนไปทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง ใช้ใจของตนไปทำความบรรลุ” ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ใช้นิ้วจี้ไปตามอารมณ์ กฎเกณฑ์ขนาดจิ๋วสายหนึ่งพลันยิงเข้าไปที่หน้าผากของจ้าวจื้อถิง มุดเข้าไปในทะเลแห่งความรู้ของนาง

เมื่อกฎเกณฑ์ขนาดจิ๋วสายนี้มุดเข้าไปในทะเลแห่งความรู้ของจ้าวจื้อถิงนั้น นางถึงกับสะดุ้งในใจทีหนึ่ง กฎเกณฑ์สายนี้เมื่อมีการเปิดขึ้นมานั้น มันคือวิธีควบคุมไฟ

หลี่ชิเย่ไม่ได้ชี้แนะจ้าวจื้อถิงว่าจะต้องฝึก ‘ตำราพิชิตอัคคี’ อย่างไร แต่เป็นการถ่ายทอดเกี่ยวกับความลึกซึ้งของการควบคุมไฟบางอย่างเท่านั้นเอง

ขณะที่จ้าวจื้อถิงพินิจพิเคราะห์ทำความบรรลุความลึกซึ้งและยอดเยี่ยมการควบคุมไฟในลักษณะเช่นนี้อยู่นั้น ภายในใจของนางถึงกับสะดุ้งนิดหนึ่ง เนื่องจากเมื่อนางนำวิธีการควบคุมไฟหลอมรวมเข้าไปใน ‘ตำราพิชิตอัคคี’ แล้วนั้น นางจึงพบว่ามันช่างเข้ากันได้ดีเหลือเกิน ช่างเป็นไปตามปรารถนาเหลือเกิน นางสามารถควบคุมระดับความร้อนแรงได้ตามต้องการได้ดีเหลือเกิน

“ขอบคุณคุณชาย…” หลังจากเวลาผ่านไปนานเมื่อจ้าวจื้อถิงได้สติกลับมา จึงเรีบคารวะต่อหลี่ชิเย่ แต่ว่า ในเวลานี้หลี่ชิเย่ได้เงียบเสียงไปแล้ว เหมือนได้เข้าสู่การหลับใหลอีกครั้ง

แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ภายในใจของจ้าวจื้อถิงรู้สึกดีใจและเบิกบานใจยิ่งนัก

เมื่อกัวเจียหุ้ยกลับมาถึงและรับรู้เรื่องนี้แล้ว นางอดที่จะรู้สึกเบิกบานใจแทนจ้าวจื้อถิงไม่ได้

เป็นไปตามคาด หลังจากที่จ้าวจื้อถิงได้รับการชี้แนะจากหลี่ชิเย่ในครั้งนี้แล้ว นางทะลุผ่านคอขวดที่สร้างความยุ่งยากให้กับนางมาเป็นเวลานานได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้การฝึกปรือด้วยความมะนะพยายาม ทักษะของนางก็ได้ก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง กระทั่งกล่าวได้ว่า เวลานี้การฝึกของนางสามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าครั้งก่อน มีประสิทธิผลที่เรียกว่าก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

เวลานี้ เมื่อนางฝึก ‘ตำราพิชิตอัคคี’ จะมีความรู้สึกที่โล่งทะลุปรุโปร่งและเพลิดเพลินอย่างหนึ่งในการฝึก ในอดีต ความลึกซึ้งยอดเยี่ยมที่ไม่สามารถเข้าใจได้ มาวันนี้สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด ในอดีต นางจะฝึกด้วยการปฏิบัติตามวิธีการที่อาจารย์ของตนถ่ายทอดให้ ตลอดขั้นตอนการฝึกเรียกว่าหมกมุ่นอยู่กับการฝึกอย่างหนัก โดยไม่ได้สอดคล้องกับความเป็นจริง

หลังจากที่จ้าวจื้อถิงผ่านการชี้แนะจากหลี่ชิเย่แล้ว ทำให้มีความรู้สึกทะลุปรุโปร่งและเพลิดเพลินในการฝึกยิ่งขึ้น เวลาฝึกก็จะได้ข้อคิดจากเหตุการณ์ประเภทเดียวกัน ให้ความรู้สึกที่เข้าใจเรื่องหนึ่งก็จะเข้าใจในทุกๆ เรื่องตามมาอย่างนั้น

หลังจากผ่านการชี้แนะแล้ว จ้าวจื้อถิงก็ตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าหลี่ชิเย่เป็นยอดฝีมือที่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึงโดยแท้จริง เกรงว่าจะเหนือกว่าทุกๆ คนในนิกายหู้ซานจง จะอย่างไรเสีย หลังจากที่การฝึกของนางตกไปอยู่ในคอขวดแล้วนั้น ผู้อาวุโสของพวกเขาก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ ทุกคนต่างไม่สามารถช่วยให้นางทะลุผ่านคอขวดนี้ไปได้ ขณะที่หลี่ชิเย่อาศัยเพียงไม่กี่คำก็สามารถทำให้นางทะลุปรุโปร่งและมีจิตใจที่เพลิดเพลินในการฝึก ระดับใครสูงหรือต่ำตัดสินได้ทันที

จ้าวจื้อถิงและกัวเจียหุ้ยให้การปรนนิบัติต่อหลี่ชิเย่เหมือนเช่นที่ผ่านมา พวกนางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการตื่นขึ้นมาอีกครั้งของหลี่ชิเย่จะเป็นเมื่อใด

จ้าวจื้อถิงและกัวเจียหุ้ยไม่กล้าเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับหลี่ชิเย่ให้ผู้อื่นฟังง่ายดาย หนึ่งนั้นพึงระวังผู้อื่นที่คิดร้ายเรา พวกนางก็เกรงจะมีผู้ไม่หวังดีต่อหลี่ชิเย่ สองนั้นพวกนางเองเกรงว่าหลี่ชิเย่จะไม่พอใจ จะอย่างไรเสียผู้เยี่ยมยุทธมักมีการกระทำที่ผู้อื่นยากจะคาดเดาเสมอ พวกนางไหนเลยกล้าตัดสินใจเองโดยพลการเล่า?

แม้ว่าต้องปรนนิบัติหลี่ชิเย่ทุกวัน แต่ว่า สิ่งนี้ไม่ทำให้การฝึกปรือของกัวเจียหุ้ยและจ้าวจื้อถิงต้องเสียไป ช่วงเวลานี้พวกนางสองคนสามารถรับมือกับการฝึกได้เหลือเฟือ

ในวันนี้ กัวเจียหุ้ยยังคงเหมือนเช่นที่ผ่านมาด้วยการนั่งรับแดดเป็นเพื่อนกับหลี่ชิเย่ ขณะนั่งอยู่ที่บริเวณลานบ้าน มองดูภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ห่างไกลออกไป กัวเจียหุ้ยพลันจ้องมองดูจนเหม่อลอย ไม่สามารถเรียกสติกลับมาเป็นเวลานาน

ณ นิกายหู้ซานจง ไม่ว่าจะมองจากจุดใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่สามารถมองเห็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ทั้งสิ้น เหมือนว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์อยู่ใกล้กันมาก เหมือนว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ตรงหน้านั่นเอง ความจริงแล้ว ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้อยู่ห่างไกลออกไปมากทีเดียว

“คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดจริงรึ?” ภายในใจของกัวเจียหุ้ยพลันที่ความคิดที่อยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ขณะจ้องมองดูภูเขาศักดิ์สิทธิ์

นับตั้งแต่นางเข้าเป็นศิษย์ของนิกายหู้ซานจงแล้ว นางเคยได้ยินได้ฟังตำนานเกี่ยวกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก และมีการจัดพิธีกราบไหว้บูชาภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในทุกระดับชั้นของนิกายหู้ซานจงปีละหนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นการกราบไหว้บูชาต่อผู้เฒ่าอมตะจากระยะห่างไกล

กัวเจียหุ้ยเคยได้ยินผู้อาวุโสภายในสำนักของตนเล่าว่า นิกายหู้ซานจงถือกำเนิดขึ้นก็เพื่อภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ทำหน้าที่เฝ้าปกป้องคุ้มครองภูเขาศักดิ์สิทธิ์มาทุกยุคทุกสมัย เฝ้าปกป้องการเวียนว่ายตายเกิดของผู้เฒ่าอมตะ

แม้จะกล่าวว่าภายหลังผู้เฒ่าอมตะไม่ได้มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว และนิกายหู้ซานจงของพวกเขาก็เสื่อมลงนับแต่นั้นเป็นต้นมา แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม นิกายหู้ซานจงในทุกยุคทุกสมัยไม่เคยลืมเลือนในหน้าที่ของตน ไม่ได้ลืมเลือนวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งนิกายหู้ซานจง ของบรรพบุรุษพวกเขา นิกายหู้ซานจงของพวกเขาจะต้องเฝ้าปกป้องภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทุกยุคทุกสมัยต่อไป

“ปฐมบรรพบุรุษยังจะมีการกลับชาติเกิดใหม่จากถ้ำเซียนมารในภายหลังอีกหรือไม่นะ?” กัวเจียหุ้ยถึงกับเอามือสองข้างเท้าคางเอาไว้ มองดูภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งตระหง่านทะลุท้องฟ้า โดยมีเมฆหมอกปกคลุม ไม่สามารถมองเห็นยอดเขาได้อยู่แล้ว ยิ่งมองไม่เห็นถ้ำเซียนมารตามที่มีการกล่าวถึงในตำนาน

เรื่องราวตำนานเกี่ยวกับเวียนว่ายตายเกิดของผู้เฒ่าอมตะนั้น กัวเจียหุ้ยฟังมามากทีเดียว เพียงแต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นตำนานเท่านั้น ในตำนานเล่าว่า ผู้เฒ่าอมตะจะมีการเวียนว่ายตายเกิดขึ้นที่ถ้ำเซียนมารในทุกๆ ยุคสมัย ดังนั้น ปรัชญาเมธีนิกายหู้ซานจงของพวกเขาในทุกยุคสมัยจะไปให้การต้อนรับปฐมบรรพบุรุษในวันที่มีการกลับชาติมาเกิดใหม่

“แต่ว่า เวลานี้นิกายหู้ซานจงไม่มีใครสามารถขึ้นไปบนยอดเขาได้อีกมานานมากแล้ว ต่อให้ปฐมบรรพบุรุษได้มีการกลับชาติมาเกิดใหม่มาแล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครทราบ” กัวเจียหุ้ยพึมพำขึ้นมา

เพียงแต่ว่าเวลานี้อมตะตระกูลเซียวได้ตายไปแล้ว ทุกสิ่งที่ผ่านมาในอดีตได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

“ผู้ที่สามารถยืนหยัดอยู่บนเส้นทางสายนี้ตลอดมาได้มีไม่มาก น้อยถึงน้อยมากๆ” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจเบาๆ ว่า “แม้ว่ามีผู้ที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งอย่างยิ่ง และปราศจากผู้ต่อกรตลอดกาลได้เคยพยายาม ต่อสู้อย่างสุดชีวิต ขัดขืนดิ้นรนมาก่อน เสียดาย ส่วนใหญ่มีชีวิตตกต่ำอยู่ในความทุกข์ทรมาน แต่ว่า เจ้ายังคงก้าวเดินไปข้างหน้าตลอด นับว่าไม่ง่ายโดยแท้จริง แม้ว่าเจ้าจะเป็นไอ้สารเลวคนหนึ่ง ยังคงเป็นสารเลวที่คู่ควรให้ผู้อื่นไปเคารพนบนอบ”

กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว การตายของอมตะตระกูลเซียวไม่ได้บ่งบอกว่าศัตรูของเขาตายไป แต่เป็นการบ่งบอกว่า ผู้ที่ก้าวเดินอยู่ข้างหน้าบนเส้นทางสายนี้ได้ล้มลงแล้ว

เส้นทางสายนี้ยาวไกลอย่างยิ่ง ไม่ว่าใครก็มีความเป็นไปได้ที่จะล้มลง ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่ไม่ได้ล้มลงกลับกลายเป็นว่ามีชีวิตตกต่ำอยู่ในความทุกข์ทรมานนับจากนั้นเป็นต้นมา

อมตะตระกูลเซียวได้ผ่านชีวิตมาหมื่นยุค ผ่านการทนทุกข์ทรมานในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากมานับไม่ถ้วน ผ่านวิบากกรรมใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่หายวับไปกับตาในพริบตา แต่ว่า อมตะตระกูลเซียวกลับไม่ได้มีชีวิตตกต่ำอยู่ในความทุกข์ทรมาน คงยืนหยัดตลอดมา

ท่ามกลางขั้นตอนดังกล่าวนี้ อมตะตระกูลเซียวเคยค้นหาความน่าจะเป็นต่างๆ นานา และเคยคิดหาวิธีการต่างๆ เฉกเช่นการดำรงอยู่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร ก็คือการทดสอบอย่างหนึ่งของอมตะตระกูลเซียว

อมตะตระกูลเซียวทดลองกลับชาติมาเกิดใหม่ คิดจะค้นหาความเป็นไปได้ของการคลายปมสถานการณ์ที่ยากลำบากจากการกลับชาติมาเกิดใหม่

มิฉะนั้นแล้ว อมตะตระกูลเซียวก็คงไม่มาที่แดนสามเซียน การที่เขามายังแดนสามเซียนไม่เพียงต้องการค้นหาคำตอบ และตามหาในสิ่งที่ตนต้องการ

เสียดาย ท้ายที่สุดแล้วแดนสามเซียนไม่สามารถให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้ และไม่สามารถค้นพบคำตอบภายในใจของเขา สุดท้าย เขาได้แต่ไปจากที่ตรงนี้และกลับไปยังโลกของเขา

ด้วยเหตุนี้เอง นับจากนั้นเป็นต้นมา ผู้เฒ่าอมตะแห่งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารจึงไม่ได้มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกเลย

สุดท้าย อมตะตระกูลเซียวยังคงใช้ความพยายามอย่างเต็มที่โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด เรื่องราวหลังจากนั้นคงไม่ต้องกล่าวถึงให้มากความ ทุกสิ่งล้วนหายวับไปกับตาในพริบตา

ที่โชคดีก็คือ นับว่าได้คงสิ่งจัดตั้งเพื่อการสืบทอดของเขาเอาไว้ในแดนสามเซียนแห่งนี้เอาไว้

…………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล