ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 2805

สรุปบท ตอนที่ 2805 อธิการบดีผู้นี้ดูจะมีปัญหา: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

สรุปตอน ตอนที่ 2805 อธิการบดีผู้นี้ดูจะมีปัญหา – จากเรื่อง ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดย Internet

ตอน ตอนที่ 2805 อธิการบดีผู้นี้ดูจะมีปัญหา ของนิยายActionเรื่องดัง ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 2805 อธิการบดีผู้นี้ดูจะมีปัญหา

ผู้หญิงคนนี้ตกใจจนรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง กล่าวด้วยความหวาดผวาว่า “เป็นความจริงรึ?”

“บางทีหมอดูอาจจะหลอกเจ้าสักสามร้อยปี เจ้าคิดว่าข้าจะหลอกเจ้าอย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ขณะที่โฉงปี้ทิ้งคำพูดนี้เอาไว้นั้น ได้เตือนศิษย์ด้วยวิธีการอย่างไร?”

ภายในใจของผู้หญิงคนนี้ถึงกับสะดุ้ง เป็นความจริงที่หลี่ชิเย่ไม่มีความจำเป็นต้องหลอกนาง ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดประโยคนี้เป็นคำพูดปฐมบรรพบุรุษของพวกเขาที่ทิ้งเอาไว้เพื่อเตือนใต้หล้าอยู่แล้ว เวลานี้เมื่อหลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ เกรงว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียง

เมื่อผู้หญิงคนนี้นึกถึงตรงนี้แล้วถึงกับเสียวสันหลังวาบ พลันรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง ถ้าหากแดนลัทธิเซียนหายวับไปกับตาในพริบตา และไม่คงอยู่อีกต่อไปนับแต่นี้เป็นต้นไป มันช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพียงใด

หากเปลี่ยนเป็นอดีต อย่าว่าแต่นางเลย ต่อให้เป็นใครก็ตาม ล้วนแล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นี่มันแค่กระต่ายตื่นตูมเท่านั้น

จะอย่างไรเสีย การที่แดนลัทธิเซียนยืนหยัดมาถึงวันนี้ ได้ผ่านกาลเวลามานานนับล้านล้านปี หมุนเวียนสับเปลี่ยนมายุคแล้วยุคเล่า แม้ว่าจะมีการเจริญรุ่งเรือง และเสื่อมโทรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนนับไม่ถ้วน และก็เคยผ่านเคราะห์กรรมมาไม่น้อย แต่ว่า นั่นมันก็แค่เรื่องที่อยู่ในวงแคบๆ เท่านั้นเองแดนลัทธิเซียนยังคงเป็นแดนลัทธิเซียน ที่ปรับเปลี่ยนไปเป็นเพียงราษฎรแต่ละยุคเท่านั้น

เวลานี้หากจะกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่แดนลัทธิเซียนจะถึงขั้นที่ว่าไม่คงอยู่อีกต่อไป ถึงขั้นที่ว่าหายวับไปกับตาในพริบตา ลองคิดดู สถานการณ์เช่นนี้มันช่างสยองขวัญอะไรอย่างนั้น ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหลือเกิน

ที่น่าสยองมากที่สุดก็คือ เรื่องเช่นนี้มีความเป็นไปได้ที่ช่วงที่นางยังคงมีชีวิตอยู่อาจจะได้พานพบ ถ้าหากถึงขั้นนั้นจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นแล้วเหล่าเวไนยสัตว์เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น รวมทั้งคนอย่างนางก็เป็นมดปลวกเช่นกัน

ในเวลานี้ ภายในใจของนางเชื่อคำพูดพยากรณ์ล่วงหน้าคำนี้อย่างสิ้นเชิง ลองนึกดู หลายปีก่อนพลันฟ้าดินมืดดำและทำการเปลี่ยนแดนลัทธิเซียนให้เป็นแดนมาร มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสยองอะไรอย่างนั้น ได้ทำให้ผู้คนจำนวนเท่าไรขวัญหนีดีฝ่อ สุดท้ายแล้วทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้ว่าสิ่งนี้เป็นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เหมือนเป็นความฝัน แต่ว่าผู้ที่อยู่ในระดับปราศจากผู้ต่อกร และระดับปฐมบรรพบุรุษที่ยังอยู่บนโลกได้บังเกิดการระวังตัวขึ้นมา

นี่ก็คือสาเหตุที่นางลงเขามาและเข้าสู่โลกมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ที่นางลงเขามาและเข้าสู่โลกมนุษย์ปุถุชนธรรมดาก็เพื่อผูกกัมมปัจจัย

ผู้หญิงคนนี้ถึงกับร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง เมื่อนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ สุดท้าย เมื่อนางได้สติกลับมาแล้วได้โค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่อย่างลึกซึ้ง และกล่าวว่า “เรียนผู้อาวุโส ปฐมบรรพบุรุษเพียงทิ้งคำพยากรณ์ล่วงหน้าเอาไว้ พวกเราล้วนแล้วแต่ไม่เคยพบหน้าสักครั้งมาก่อน”

“แอบส่องชะตาฟ้า คาดคะเนโลกใช่เป็นเรื่องดีอะไร” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “ดีไม่ดี จะต้องหายวับไปกับตาในพริบตาเดียว กายเนื้อสูญสิ้นวิญาณสลาย มรรคผลย่อมสูญสลายตามไปด้วย”

ผู้หญิงคนนี้ยืนทิ้งมือสองข้างอยู่ข้างลำตัว ไม่กล้ากล่าวมากความ

“ปลดผ้าคลุมหน้าของเจ้าเสีย” สุดท้าย หลี่ชิเย่มองหน้าผู้หญิงทีหนึ่ง และสั่งการออกไป

ผู้หญิงคนนี้เรียกได้ว่ามีประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา ทักษะก็น่าตกใจยิ่ง พูดถึงฐานะแล้วเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องเลื่อมใส และเพียงพอที่จะทำให้ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนนับไม่ถ้วนให้การปรนนิบัติเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุด

แต่ว่า เวลานี้ผู้หญิงคนนี้ไม่กล้าขัดคำพูดของหลี่ชิเย่ ปลดผ้าคลุมหน้าออกมาอย่างช้าๆ เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา

ผู้หญิงคนนี้งดงามยิ่ง ดวงตาคู่นั้นดุจดวงดาวที่อยู่โดดเดี่ยวห่างไกล เสมือนหนึ่งสามารถส่องท้องนภายามค่ำคืนจนสว่างไสว สามารถชี้นำทางให้ผู้คนได้ก้าวเดินไปข้างหน้าท่ามกลางท้องนภาในยามค่ำคืน เมื่อนางเม้มริมฝีปากเบาๆ นางดูมีสติปัญญาและความชำนาญ มีนิสัยเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ผู้พบเห็นถึงกับรู้สึกถึงความแปลกใหม่ เหมือนว่านางก็คือดอกบัวสีม่วงท่ามกลางหุบเขาที่ลึกและเงียบ

“ศิษย์หอลิขิตฟ้า สวีเซียวจิ่นคารวะผู้อาวุโส” หลังจากที่ผู้หญิงคนนี้ปลดผ้าคลุมหน้าออกแล้ว ได้แสดงคารวะต่อหลี่ชิเย่อย่างลึกซึ้ง ด้วยท่าทีที่เคารพนบนอบ

ถ้าหากมีใครได้ยินชื่อหอลิขิตฟ้าละก็จะต้องตื่นตระหนกยิ่ง ต้องถูกทำให้ตกใจอย่างยิ่งแน่นอน

อย่างไรก็ตาม หลี่ชิเย่ไม่ได้หวั่นไหวกับสิ่งนี้ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่คิดและวางแผนล่วงหน้าในใจไว้แล้ว เขาจ้องมองสวีเซียวจิ่นทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ข้าอายุแค่สิบแปด อย่าเรียกข้าจนแก่หง่อมขนาดนั้น”

ในใจของสวีเซียวจิ่นอยากหัวเราะออกมา แต่ว่าไม่กล้า รักษาความเข้มขรึมเอาไว้ คารวะและกล่าวว่า “ศิษย์เข้าใจ”

“ช่างเถอะ ไปเสีย ไม่ต้องทำเป็นเข้มขนาดนั้น” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และไม่ได้ทำให้นางต้องลำบากใจ

“คำพูดของคุณชาย ข้าจะจดจำใส่ใจ” สวีเซียวจิ่นนับเป็นคนที่ฉลาดคนหนึ่ง ใช่ซื่อบื้อไม่รู้จักพลิกแพลง

จังหวะที่สวีเซียวจิ่นกำลังไปจาก หลี่ชิเย่ได้สั่งการเรียบเฉยว่า “เจ้าพบเจอหลวงจีนนั่นเมื่อไร บอกเขาว่า หากคราวหน้าพบกับเขาอีกแล้วยังกล้าคิดไม่ดีอีกล่ะก็ ข้าจะเด็ดหัวของเขาออกมา”

“ข้าจะถ่ายทอดให้กับศิษย์พี่ต้าเจี๋ยทราบ” แม้แต่สวีเซียวจิ่นก็ถูกทำให้ตกใจยิ่ง นางรู้ว่าคำพูดนี้ของหลี่ชิเย่ไม่ใช่เป็นการพูดเล่นอย่างแน่นอน

หลังจากที่สวีเซียวจิ่นล่าถอยกลับไปแล้ว หลี่ชิเย่ได้หลับตาลงช้าๆ

หลี่ชิเย่รั้งอยู่ในสถาบันศึกษาล้างบาปอย่างเงียบสงบและว่างๆ เนื่องจากทุกคนในสถาบันศึกษาล้างบาปต่างมีภาระหน้าที่ของตนต้องทำ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดมารบกวนเขา ทำให้หลี่ชิเย่มีเวลาจัดการกลั่นทำลายสุดยอดความน่ากลัวสูงสุดได้อย่างเต็มที่เงียบๆ

แต่ว่า ไม่พ้นสองวัน ตู้เหวินรุ่ย อธิการบดีของสถาบันศึกษาล้างบาปได้มาพบหลี่ชิเย่

หลังจากตู้เหวินรุ่ยพบกับหลี่ชิเย่แล้วได้นำเอกสารออกมาปึกใหญ่ และยิ้มกล่าวกับหลี่ชิเย่ว่า “พี่น้อง เป็นอย่างไรบ้าง ชินกับการอยู่ในสถาบันศึกษาหรือไม่? รู้สึกว่าสถาบันศึกษาล้างบาปเป็นอย่างไรบ้าง?”

“เจ้าคิดว่าพลังความสว่างอันดับหนึ่งของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์คือผู้ใด?” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง

“เรื่อง เรื่องนี้ ข้าก็ไม่รู้แล้วล่ะ” ตู้เหวินรุ่ยหัวเราะเจื่อนทีหนึ่ง พร้อมกับส่ายหน้า

หลี่ชิเย่ไม่ได้ถามต่อไป จากนั้นมองไปที่ที่ห่างไกล กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้าคืออธิการบดีของสถาบันศึกษาล้างบาป มองอย่างไรกับเมืองล้างบาป”

“เจตนาของปฐมบรรพบุรุษ ไหนเลยมนุษย์ปุถุชนธรรมดาอย่างพวกเราสามารถคาดเดาได้” ตู้เหวินรุ่ยส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ข้ารู้แต่เพียงเมืองล้างบาปไม่ได้เหมือนอย่างที่ลือกันของมนุษย์ปุถุชนอย่างนั้น และหาใช่เป็นสถานที่ที่ปฐมบรรพบุรุษใช้สำหรับคุมขังนักโทษ การที่แสงสว่างของปฐมบรรพบุรุษสามารถส่องสว่างแดนลัทธิเซียนได้อย่างเสมอภาคได้ ก็ต้องส่องสว่างเมืองล้างบาปได้อย่างเสมอภาคเช่นกัน แต่ว่า ทั่วทั้งหอจรัสศักดิ์สิทธิ์มีประกายศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค ยกเว้นกลับลืมเมืองล้างบาปไปเพียงแห่งเดียว”

“ดังนั้น เจ้าจึงปล่อยเลยตามเลย” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง

“การดำรงอยู่ก็คือสมเหตุสมผล” ท่าทางตู้เหวินรุ่ยเคร่งขรึม และกล่าวว่า “สรรพสิ่งในฟ้าดิน ประชาชนจำนวนมากมายเป็นแสนเป็นล้าน ส่วนใหญ่แล้วเพื่อความอยู่รอดเท่านั้นเอง จะเป็นความสว่างก็ดี ความมืดก็ช่าง ล้วนแล้วแต่คือกฎเกณฑ์สวรรค์ ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่มีความคลุมเครือเป็นระเบียบ สยบต่อความมืด หรือเทิดทูนแสงสว่าง ประชาชนจำนวนมากมายเป็นแสนเป็นล้าน ต่างมีการตัดสินใจของตนเอง”

“ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า หากผู้แข็งแกร่งไม่ทำชั่ว ใช่หรือไม่ฟ้าดินแห่งนี้จะมีความสงบสุขไปทั่ว โลกคือโฉมหน้าเดิมอยู่แล้ว ประชาชนจำนวนมากมายเป็นแสนเป็นล้าน เพียงต้องการดำรงชีวิตอยู่เท่านั้น อยู่ไปวันๆ เพื่อลมหายใจสุดท้ายเท่านั้น” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “สำเร็จมรรคผลเป็นเซียนอะไร มีชีวิตเป็นอมตะไม่มีวันตายอะไร นั่นแหละจึงเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้ายบนโลกนี้”

“ทักษะข้าอ่อน ไม่กล้าแสดงความเห็นสุ่มๆ” ตู้เหวินรุ่ยนิ่งเงียบนิดหนึ่ง สุดท้ายได้แต่กล่าวด้วยท่าทีหนักแน่นเช่นนี้

“เช่นนั้นแล้ว เจ้ามองปฐมบรรพบุรุษปราชญ์ไกลกันดารอย่างไร?” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทียิ้มเต็มที่

ตู้เหวินรุ่ยถึงกับมองหน้าหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง ทำท่าลังเลนิดหนึ่ง สุดท้ายกล่าวท่าทีจริงจังว่า “ผู้คนบนโลกล้วนแล้วแต่จดจำว่าเขาคือแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค แค่นี่ก็เพียงพอแล้ว มนุษย์ใช่นักปราชญ์ จะมีสักกี่คนที่สามารถเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริงได้เล่า”

“นักปราชญ์น่ะ มี แต่หาได้ยากนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน” หลี่ชิเย่มองไปด้านนอก เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เส้นทางของนักปราชญ์ถูกลิขิตไว้แล้วจะต้องเดียวดายจนตาย!”

“ปฐมบรรพบุรุษ แสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค” ตู้เหวินรุ่ยเอ่ยขึ้นเบาๆ ไม่กล้าวิจารณ์มาก

“เจ้านับว่าฉลาดนัก หลบงานที่หนักรับงานที่เบากว่า มิน่าเล่าถึงได้รั้งอยู่ในสถานที่เช่นสถาบันศึกษาล้างบาปเช่นนี้” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา

ตู้เหวินรุ่ยหัวเราะเจื่อนๆ ทีหนึ่ง ไม่พูดอะไร

………………………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล