อ่านสรุป ตอนที่ 2837 หลอกล่อด้วยผลประโยชน์เกมบังคับ จาก ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 2837 หลอกล่อด้วยผลประโยชน์เกมบังคับ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายAction ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ตอนที่ 2837 หลอกล่อด้วยผลประโยชน์เกมบังคับ
บรรดานักศึกษาบางส่วนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวที่เป็นตำนานเช่นนี้ต่างแสดงความชื่นชมและรู้สึกแปลกใจ จะอย่างไรเสียเรื่องราวลักษณะเช่นนี้ไม่ว่ายุคสมัยใดก็ตาม ดูไปแล้วก็ล้วนแล้วแต่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ
ระดับปฐมบรรพบุรุษที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งอะไรอย่างนั้น ยังคงถูกพ่อค้าที่คดโกงหลอกเอาได้ อีกทั้งยังถูกพ่อค้าคดโกงขายให้กับมารร้าย ช่างเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลสิ้นดี ช่างเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจินตนาการได้
แม้ว่าเรื่องราวที่เป็นตำนานช่างเหลือเชื่ออะไรอย่างนั้น แต่ว่า นักศึกษาจำนวนมากหลังจากได้ฟังแล้วต่างเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง จะอย่างไรเสียห้างเจียวเหิงนั้นมีชื่อเสียงมาก ในหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ก็มี
กล่าวได้ว่า ไม่ว่าต้องการสิ่งใดขอเพียงเจ้าสู้ราคาได้ ห้างเจียวเหิงล้วนสามารถช่วยหามาให้ได้ ห้างที่มีความอภินิหารและชั่วร้ายขนาดนี้ นับว่าใช่เป็นเรื่องแปลกหากผู้ก่อตั้งห้างเจียวเหิงจะมีความสามารถเช่นนั้น
“ฮึแค่พ่อค้าคดโกงคนหนึ่ง ไหนเลยจะมาเทียบกับปรมาจารย์ของข้าได้” จังหวะที่ผู้คนจำนวนมากกำลังวิพากวิจารณ์เสียงแผ่วเบาอยู่นั้น ราชาพยัคฆ์ได้ส่งเสียงฮึเย็นชาขึ้น กล่าวด้วยท่าทีหยิ่งทระนงว่า “ปรมาจารย์ของข้านั้นเป็นปฐมบรรพบุรุษตั้งแต่อายุยังน้อย มีความสามารถทุกแขนง มีความรู้กว้างขวาง หยั่งรู้อดีตปัจจุบัน ไหนเลยที่บรรดามนุษย์ปุถุชนธรรมดาเหล่านั้นจะเทียบเคียงได้”
เมื่อราชาพยัคฆ์พูดมาถึงตรงนี้แล้วถึงกับเปี่ยมด้วยความโอหังอวดดีเต็มเปี่ยม จะอย่างไรเสียการมีปราชญ์อัจฉริยะหลันซูเป็นปรมาจารย์ของตน เปลี่ยนเป็นผู้เยาว์คนใดก็ตาม ก็ต้องหยิ่งยโสและถือเป็นเกียรติของตน
ตู้เหวินรุ่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มและส่ายหัวเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้แล้ว นี่แหละคือเรื่องวิสัยทัศน์ที่สูงหรือต่ำที่สามารถรู้ได้ทันที และเป็นการบ่งบอกว่า แม้ผู้ที่แข็งแกร่งเฉกเช่นปราชญ์อัจฉริยะหลันซูยังคงไม่เข้าตาของหลี่ชิเย่อยู่ดี
“ปรมาจารย์เจ้าเป็นปฐมบรรพบุรุษตั้งแต่อายุยังน้อย มีความสามารถทุกแขนง มีความรู้กว้างขวาง หยั่งรู้อดีตปัจจุบัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ข้ากับเขาไม่ได้เป็นญาติหรือเป็นสหายกัน ต่อให้เขายอดเยี่ยมมากไปกว่านี้ข้าก็ไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน แล้วเจ้าจะอย่างไร”
“เจ้า…” เวลานี้ราชาพยัคฆ์ถึงกับมีใบหน้าที่แดงก่ำ และพูดอะไรไม่ออกเป็นเวลานาน
ทุกคนถึงกับมองตากันและกัน ในเวลานี้ก็ไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน คำพูดของหลี่ชิเย่นับว่าไม่มีปัญหาจริงๆ ต่อให้ปราชญ์อัจฉริยะหลันซูยอดเยี่ยมมากกว่านี้ หรือว่าจำเป็นที่หลี่ชิเย่จะต้องไปรู้จักอย่างนั้นรึ?
ในเวลานี้ เมื่อผู้คนจำนวนมากได้สติคืนกลับมา ต่างอดที่จะจ้องมองไปที่ของล้ำค่ากระบือชิ้นนั้นในมือของหลี่ชิเย่อีกที ไม่ว่าใครก็มองออกว่าราชาพยัคฆ์จะต้องครอบครองของล้ำค่ากระบือชิ้นนั้นให้จงได้
ภายในใจของทุกคนก็เข้าใจดี เกรงว่าราชาพยัคฆ์ไม่ได้ต้องการได้ของล้ำค่ากระบือชิ้นนี้เอง แต่ต้องการนำของล้ำค่ากระบือชิ้นนี้ไปมอบให้กับราชันแท้จริงจินผู่ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขา จะอย่างไรเสีย ก่อนหน้านี้ราชันแท้จริงจินผู่ก็เคยออกปากขอกับกระบือดำยักษ์ด้วยตนเองมาก่อน
ดูท่าราชันแท้จริงจินผู่ก็มีความต้องการในของล้ำค่ากระบือชิ้นนี้มากทีเดียว ดังนั้น ราชาพยัคฆ์ในฐานะที่เป็นศิษย์ย่อมต้องพยายามสุดความสามารถเอาของล้ำค่ากระบือชิ้นนี้มาให้ได้ เป็นการแบ่งเบาความกังวลของอาจารย์
ในเมื่อราชาพยัคฆ์ตั้งใจจะต้องได้ของล้ำค่ากระบือชิ้นนี้ ส่งผลให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยเลิกล้มความคิดในของล้ำค่ากระบือ จะอย่างไรเสีย ไม่ว่าใครก็ตามคิดจะแย่งชิงกับราชาพยัคฆ์ก็ต้องประเมินตนเองไว้ก่อน
ต่อให้พวกเขามีกำลังความสามารถเหนือกว่าราชาพยัคฆ์ แต่ว่า เทียบกับอาจารย์ของเขาราชันแท้จริงจินผู่ล่ะ? เทียบกับปราชญ์อัจฉริยะหลันซู ปรมาจารย์ของราชาพยัคฆ์เล่า? เกรงว่าคงเทียบกันไม่ได้ ในเมี่อเป็นเช่นนี้ไฉนจึงไม่แสดงน้ำใจตามน้ำไปเล่า
“เอาเถอะ ข้าจะไม่โต้เถียงกับเจ้า” สุดท้าย ราชาพยัคฆ์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง จ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “จะต้องทำอย่างไรเจ้าจึงยอมขายของล้ำค่ากระบือชิ้นนี้ออกไป!”
“ข้าจะขายหรือไม่ขายของล้ำค่ากระบือชิ้นนี้มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ข้าอยากทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาคอยกังวล”
“เจ้า…” ราชาพยัคฆ์ถูกหลี่ชิเย่ย้อนจนพูดอะไรไม่ออก เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง สะกดความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมา ส่งเสียงฮึเย็นชาและกล่าวน่าเกรงขามว่า “เงินทองเป็นที่หวั่นไหวต่อจิตใจของคน เกรงว่าเจ้ามีวาสนาได้ครอบครอง แต่ไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้ เกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้น เกรงว่าไม่เพียงจะรักษาของวิเศษเอาไว้ แม้แต่ชีวิตของตนก็ต้องพ่วงเข้าไปด้วย”
ท่าทีของราชาพยัคฆ์ดูเหมือนหวังดีต่อหลี่ชิเย่ เหมือนเป็นการเตือนหลี่ชิเย่ให้รู้ แต่ว่า คนที่เข้าใจเหตุการณ์เมื่อได้ฟัง ก็ฟังออกได้ว่า คำพูดของราชาพยัคฆ์เต็มไปด้วยแนวความคิดที่ข่มขู่
ต่อให้ราชาพยัคฆ์ไม่กล้าลงมือแย่งชิงต่อหน้าสายตาของผู้คนจำนวนมาก แต่ว่า ไม่แน่นักเขาอาจลงมือทันทีที่ลับตาคน เรื่องการฆ่าคนชิงทรัพย์กล่าวสำหรับเขาแล้ว เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
“นั่นสิ การมีโทษเพราะมีของดีติดตัว” มีผู้ที่รีบหว่านล้อมว่า “เจ้ามิสู้ขายของล้ำค่ากระบือชิ้นนี้ให้กับราชาพยัคฆ์ไป ไม่เพียงสามารถฉากออกมาด้วยความปลอดภัย ยังสามารถขายได้ราคาดีอีกด้วย”
“ของล้ำค่ากระบือชิ้นนี้เจ้าติดตัวไว้ก็ไร้ประโยชน์ มิสู้เปลี่ยนเป็นสิ่งที่เข้าท่ากว่า” นักศึกษาอื่นๆ ก็ทยอยกันกล่าวเตือน
แม้ว่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จำนวนมากล้วนแล้วแต่ต้องการของล้ำค่ากระบือชิ้นนี้ แต่ว่า เมื่อราชาพยัคฆ์แสดงตนว่าจะต้องได้ของล้ำค่ากระบือชิ้นนี้ให้จงได้ ผู้คนจำนวนมากต่างไม่ต้องการไปแย่งชิงกับราชาพยัคฆ์
ในเมื่อไม่สามารถได้ของล้ำค่ากระบือชิ้นนี้อยู่แล้ว ก็ทำตัวซื้อใจตามน้ำไปจะเป็นไร สร้างวาสนาที่ดีต่อกันกับราชาพยัคฆ์ ไม่แน่นักอาจมีสักวันได้เข้าพบปฐมบรรพบุรุษเช่นปราชญ์อัจฉริยะหลันซูก็เป็นได้
“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่ไม่หวั่นไหวต่อคำหว่านล้อมของเหล่าผู้คน ยิ้มกล่าวเรียบเฉยว่า “ที่ว่าฆ่าคนชิงทรัพย์ คงไม่หมายถึงตนเองกระมัง” กล่าวพลางสายตาตกไปอยู่บนตัวของราชาพยัคฆ์
แม้ว่าราชาพยัคฆ์มีใจเช่นนี้จริง และทุกคนก็เข้าใจ เพียงแต่ทุกคนต่างไม่ยอมพูดออกมาเท่านั้น เมื่อหลี่ชิเย่เปิดโปงขึ้นโดยพลัน ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกผะอืดผะอม และบรรยากาศกลับกลายเป็นประหลาดในทันที
“จัดการเจ้า ไม่จำเป็นต้องถึงอาจารย์ข้า แค่ข้าก็พอแล้ว” เวลานี้สีหน้าของราชาพยัคฆ์ดูไม่จืดถึงที่สุด กล่าวน่าเกรงขามว่า “อาศัยที่เจ้าไม่เคารพต่ออาจารย์ของข้าก็ควรตายหมื่นครั้ง”
“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ก็ได้ เช่นนั้นก็รับข้าหนึ่งกระบี่” กล่าวพลางตบกระบี่ล้างบาปที่อยู่บนหลังทีหนี่ง
“พี่พยัคฆ์ไม่ได้นะ นี่มันกระบี่ล้างบาป เป็นกระบี่ประจำกายของปฐมบรรพบุรุษ” จังหวะที่ดวงตาทั้งสองของราชาพยัคฆ์ดูน่าเกรงขาม มีนักศึกษาที่อาวุโสได้เตือนสติ และกล่าวว่า “พวกของอู๋เคอก็ตายด้วยกระบี่เล่มนี้”
เมื่อราชาพยัคฆ์ถูกนักศึกษาผู้นี้กล่าวเตือนสติพลันสะดุ้งในใจ เขาคือระดับเทพแท้จริง ขั้นขึ้นสู่สวรรค์ชั้นแปด แต่ว่า อย่าลืมไปสิ พวกของอู๋เคอก็เป็นระดับเทพแท้จริง ขั้นขึ้นสู่สวรรค์เช่นกัน และอู๋เคอยังไม่ได้มาเพียงคนเดียว ในมือของเขาไม่มีอาวุธปฐมบรรพบุรุษ ไม่แน่ว่าจะรับมือกับกระบี่นี้ได้
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดคำนี้แล้วต่างทยอยกันมองไปที่กระบี่ล้างบาปที่อยู่บนหลังของหลี่ชิเย่
“กระบี่เล่มนี้เรียกว่ามีความสว่างไร้ขีดจำกัด หนึ่งกระบี่ที่มีอานุภาพปฐมบรรพบุรุษ รับมือตรงๆ ไม่ได้” นักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่รู้จักกระบี่ล้างบาป เวลานี้เมื่อเห็นกระบี่เล่มนี้ตกอยู่ในมือของหลี่ชิเย่รู้สึกอิจฉาริษยา
“ทุกคนต่างก็เป็นนักศึกษาด้วยกัน ล้วนแล้วแต่เป็นนักศึกษาของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ ใยจะต้องตัดสินด้วยกระบี่และดาบเล่า มิสู้ให้มันดูสุภาพสักหน่อย” มีนักศึกษารีบไกล่เกลี่ยเมื่อเห็นราชาพยัคฆ์กำลังขี่หลังเสืออยู่
“ถูกต้อง ประลองที่สุภาพหน่อย เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายมิตรภาพระหว่างกัน” ในเวลานี้ มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยทยอยหาทางลงให้กับราชาพยัคฆ์
“แบบสุภาพหน่อย? ประลองกันเก็บผลไม้ศักดิ์สิทธิ์รึ?” หลี่ชิเย่หัวเราะตามอารมณ์ขึ้นมา
นักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างมองหน้ากันและกัน เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกมา เมื่อครู่นี้หลี่ชิเย่เคาะเก็บผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปดลงมาได้อย่างง่ายดาย ทุกคนต่างก็รู้ว่าเขาสะพายกระบี่ล้างบาปไว้ สามารถหยิบยืมและควบคุมพลังจรัสได้ การเก็บผลไม้ศักดิ์สิทธิ์กล่าวสำหรับเขาแล้วเกรงจะไม่ยาก
“มิสู้ประลองกินผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ดีมั้ย?” มีนักศึกษาที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ และกล่าวว่า “ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยังบำรุงยิ่ง สามารถขับไล่ใจมารของคน ประลองกินผลไม้ศักดิ์สิทธิ์กันเห็นเป็นอย่างไร?”
“ความคิดนี้ไม่เลว ประลองกินผลไม้ศักดิ์สิทธิ์กันก็แล้วกัน แบบนี้จะไม่ทำลายมิตรภาพต่อกัน” นักศึกษาอื่นๆ ต่างมองตากันและกัน และทยอยกันสนับสนุน
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...