ตอนที่ 2917 แม่นาง แต่งไหม
ไป่จินหนิงมองดูหลี่ชิเย่แล้วกถึงกับเอ่ยขึ้นมาว่า “อันดับหนึ่งด้านวรรณกรรม! ” พูดตามตรงเลยนะ นางดูไม่ออกจริงๆ ว่าหลี่ชิเย่มีความรู้ความสามารถด้านวรรณกรรมเป็นอันดับหนึ่งตรงไหน
“เทียบกับปราชญ์อัจฉริยะหลันซูแล้วเป็นอย่างไร? ” ไป่จินหนิงพินิจพิเคราะห์หลี่ชิเย่อีกครั้ง และเอ่ยถามขึ้นมาตามอารมณ์
“เหลือเฟือ” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับยิ้มๆ
เจ้าจะคุยโตโอ้อวดทั้งทีแต่ไร้ความคิด…ดวงตาคู่นั้นของไป่จินหนิงพลันเบิกกว้าง จ้องมองไปที่หลี่ชิเย่
คำพูดประโยคเมื่อครู่ของนางก็แค่พูดออกมาตามอารมณ์ ไม่ได้คาดหวังว่าหลี่ชิเย่จะตอบ หรือต่อให้หลี่ชิเย่ตอบก็ต้องเป็นหลี่ชิเย่เข้าใจว่าตนเองสู้ไม่ได้
ปราชญ์อัจฉริยะหลันซูคือใคร คือระดับปฐมบรรพบุรุษในยุคปัจจุบัน เคียงบ่าเคียงไหล่กับพระอาจารย์จินกวง ยากจะหาผู้ใดเทียมในหล้า ไม่ว่าจะเป็นผู้มีความรู้ด้านวรรณกรรมเช่นใด ต้องสลดและอับแสงอย่างแน่นอนเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
การที่หลี่ชิเย่โผล่คำพูดที่ว่า “เหลือเฟือ” ขึ้นมา พลันทำให้ไป่จินหนิงต้องงุนงัน
ในทัศนะของไป่จินหนิงมองว่า ต่อให้เป็นผู้ที่ชอบคุยโวโอ้อวดมากกว่านี้ ก็จะไม่โอ้อวดว่าตนเองนั้นเที่ยบกับปราชญ์อัจฉริยะหลันซูแล้วเอาชนะได้เหลือเฟือ นี่มันไม่ใช่เป็นการโอ้อวดแล้ว แต่โอ้อวดจนเกินเลยมากไปแล้ว และก็จะไม่มีใครเชื่อในคำโอ้อวดเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ที่หลี่ชิเย่พูดว่า ‘เหลือเฟือ’ นั้นช่างพูดหลีกเลี่ยงสาระสำคัญไปได้อย่างง่ายดาย พูดออกมาได้เอ้อระเหยเหลือเกิน ออกจากปากของเขาเสมือนหนึ่งปราชญ์อัจฉริยะหลันซูเป็นเพียงผู้มีความรู้ความสามารถด้านโครงกลอนคนหนึ่งเท่านั้นเอง
ในเวลานี้ ไป่จินหนิงก็ต้องเซ่อไปเลย ท่าทางเหมือนถูกหลี่ชิเย่พูดเกทับอย่างนั้น และนางก็ไม่ทราบว่าคำพูดนี้ของหลี่ชิเย่เป็นจริงหรือเท็จ
จังหวะที่นัยน์ตาคู่นั้นของไป่จินหนิงที่เบิกกว้างและจ้องมองหลี่ชิเย่อยู่นั้น เสียงแผ่วเบาดังแปะขึ้นมาเสียงหนึ่ง หลี่ชิเย่ถึงกับงอนิ้วมือและดีดจมูกโด่งของนางไปทีหนึ่ง
เจ้าทำอะไร…ไป่จินหนิงรู้สึกตกใจยิ่งนัก ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที และสำแดงเป็นท่าพร้อมโจมตีขึ้นมา พูดด้วยเสียงอันดังต่อหลี่ชิเย่ ท่าทางเข้มขรึมน่าเกรงขาม
“ไม่มีใครเขาบอกเจ้ารึ? ” หลี่ชิเย่มองดูไป่จินหนิงทีหนึ่งด้วยท่าทีเรียบเฉย สบายๆ อิสระเสรี และกล่าวว่า “นัยน์ตาคู่นั้นของเจ้าดูน่ารักมากเลย มีชีวิตชีวาและงดงาม”
ไป่จินหนิงพลันรู้สึกงงงันอยู่บ้างขึ้นมาทันที อดที่จะจ้องมองดูหลี่ชิเย่อีกสักครั้ง ในเวลานี้เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะหลี่ชิเย่เป็นคนทำอะไรบุ่มบ่าม หรือว่าเป็นการทำตัวสนิทสนมตั้งแต่ได้พบเจอเป็นครั้งแรก และหรือมีสาเหตุอื่นๆ
สมควรทราบว่า ระหว่างพวกเขายังคงเป็นคนแปลกหน้า เขาถึงกับใช้นิ้วมือไปดีดจมูกโด่ง่ของนาง เหมือนว่าพวกเขารู้จักมักคุ้นกันมากแล้วอย่างนั้น เหมือนว่ามีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมมากแล้ว
“นี่เจ้าบ้าไปหรือเปล่า! ” เมื่อไป่จินหนิงเห็นท่าทางหลี่ชิเย่ที่สบายๆอิสระเสรีอย่างนั้น พลันบังเกิดความโกรธขึ้นมาจากในใจ เป็นเขาที่เอาเปรียบตนเองชัดๆ ยังทำท่าเหมือนไม่ได้ใส่ใจอย่างนั้น ทำเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่คู่ควรจกกล่าวถึงอย่างนั้น
“เจ้ามียาหรือ? ” หลี่ชิเย่มองดูไป่จินหนิงทีหนึ่ง และกล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
คำพูดนี้พลันทำให้ไป่จินหนิงต้องอึดอัด นางถึงกับมองตาขวางไปที่หลี่ชิเย่ และจับกระบี่ประจำตัวของตนด้วยจิตใต้สำนึก ถ้าหากวันนี้นางไม่ได้อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ล่ะก็ ไม่แน่นักนางจะต้องสั่งสอนเจ้าคนที่เอาเปรียบตนเองคนนี้
แต่ทว่า หลี่ชิเย่กลับทำเหมือนมองไม่เห็นสำหรับความเคลื่อนไหวของนาง ยังคงสบายๆ และอิสระเสรี
ไป่จินหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ระงับอารมณ์โกรธในใจ จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีเย็นชาทีหนึ่ง และกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าปราชญ์อัจฉริยะหลันซูคือใคร เขาคือปฐมบรรพบุรุษผู้ปราศจากผู้ต่อกร…”
“รู้” ขณะที่ไป่จินหนิงยังพูดไม่จบ หลี่ชิเย่ก็กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยและอิสระเสรีว่า “ก็แค่ระดับปฐมบรรพบุรุษเอง ใช่เป็นการประลองดาบและกระบี่ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาเตือนสติเป็นพิเศษ พูดถึงความสามารถเรื่องวรรณกรรม ข้าทิ้งห่างเขาไม่เห็นฝุ่น ถ้าหากเขาเป็นเทพปราชญ์ล่ะก็ ข้าก็คือเซียนปราชญ์แล้ว”
ไป่จินหนิงงุนงง เป็นครั้งแรกที่นางพบเจอกับผู้ที่อวดดีและยกตนข่มท่านเช่นนี้ คนที่หลงตัวเองและโอหังเช่นนี้นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ในเวลานี้ นางอดที่จะมองหน้าหลี่ชิเย่อีกหลายที และกล่าวว่า “นับว่าดูไม่ออกจริงๆ หน้าตาท่าทางของเจ้าไม่เข้ากันเอาเสียเลยจริงๆ ”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของไป่จินหนิงไม่ได้มีเจตนาเยาะเย้ย ตรงกันข้ามเป็นการพูดตามความเป็นจริง
โดยนางมองว่า รูปร่างหน้าตาของหลี่ชิเย่เรียบๆ เรียกว่าเรียบๆ ไม่มีอะไรเป็นที่สดุดตาอย่างสิ้นเชิง หน้าตาเป็นประเภทชาวบ้านนาย ก นาย ข ที่เดินสวนไปมาตามถนนอย่างนั้น พลันที่เปิดปากพูดออกมาก็สร้างความตระหนกยิ่ง เรียกได้ว่าพลันที่พูดออกมาก็สร้างความตื่นตะลึงขึ้นทันที ลักษณะท่าทางการพูดโอหังยิ่งนัก เป็นลักษณะของข้านี่แหละอันดับหนึ่งในหล้าโดยสิ้นเชิง ท่าทางที่กำเริบเสิบสานเช่นนี้ของเขากับหน้าตาที่ธรรมดาๆ เข้ากันไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
“คนเราไม่อาจตัดสินกันที่หน้าตา น้ำทะเลตวงวัดกันไม่ได้” หลี่ชิเย่หัวเราะ และกล่าวว่า “คำพูดนี้หมายถึงตัวข้า”
“เจ้าหากไม่โอ้อวดจะตายหรือไง” ไป่จินหนิงถูกท่าทางที่อวดดีของหลี่ชิเย่ทำให้โมโหจนรู้สึกเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในเวลานี้นางมองว่าท่าทางของหลี่ชิเย่คือกลัวว่าจะไม่กวนบาทาใคร ไม่ว่าใครที่พบเห็นก็อยากจะสั่งสอนเขาอย่างหนักสักครั้งหนึ่งทั้งสิ้น
หลี่ชิเย่มองดูนางแวบหนึ่ง ยิ้มๆ ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ผู้คนบนโลกล้วนโง่เขลา ข้าพูดความจริงกลับคิดว่าข้าโม้ จนด้วยเกล้า จนด้วยเกล้า”
บนหน้าผากของไป่จินหนิงพลันปรากฏเส้นเลือดดำที่นูนขึ้นมา เดิมทีนางเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างดี แต่ว่า เวลานี้กลับถูกหลี่ชิเย่ยั่วโมโหจนมีท่าที่ของสติแตก อยากจะอัดหลี่ชิเย่ให้น่วมสักครั้งให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...