ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ นิยาย บท 2

       ภายในเอกภพ(จักรวาล)อันกว้างใหญ่ไพศาล   ประกอบด้วยดาราจักร(กาแลคซี่)มากมายนับแสนล้าน  ดวงดาวที่ส่องแสงสว่างมากมายบนท้องฟ้า ถือเป็นส่วนหนึ่งของเอกภพ  ดาราจักรนั้นประกอบด้วยดาวฤกษ์ นับล้านถึงล้านล้านดวง ดวงอาทิตย์ของเรานั้น เป็นเพียงหนึ่งในดาวฤกษ์ ของดาราจักรทางช้างเผือก เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ ซึ่งมีโลกและดาวดวงอื่นโคจรอยู่รอบๆ 

    ณ ชายขอบดาราจักรทางช้างเผือก  มีดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง ขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ของโลกเรานับสิบเท่า มีดาวเคราะห์นับร้อยเป็นบริวาร   เวลานี้แสงสว่างที่ส่องมานานนับล้านล้านปี  ค่อยๆหรี่ลงเหมือนกำลังจะมอดหายไป  ท่ามกลางเศษซากดาวเคราะห์ในเขตวงโคจรชั้นนอกหลายสิบดวง  ถูกทำลายจาก กองทัพอสูรสสารมืดนับไม่ถ้วน กำลังกลืนกินแกนดวงดาวอย่างหิวกระหาย ไม่รู้มีกี่อารยธรรมที่ล่มสลาย ไปในสงครามครั้งนี้   

พวกมันคือผู้กลืนกินแห่งดาราจักร  มีเพียงความกระหายในการฆ่า กลืนกินและทำลายล้างในความคิดเท่านั้น ในเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน ไม่รู้มีอารยธรรมมากมายเพียงใดต้องสูญสิ้นไป

    บริเวณเขตดาวชั้นใน  ท่ามกลางสงครามที่ทวีความดุเดือด รอบดวงอาทิตย์ที่กำลังจะดับแสงลง   มีก้อนสสารมืดขนาดใหญ่มหึมา ขนาดหนึ่งในสามของดวงอาทิตย์ มันกำลังใช้รยางค์ขนาดใหญ่ สองเส้นเจาะเข้าไปในแกนดวงอาทิตย์  เพื่อดูดกินพลังงานอย่างหิวกระหาย

    เปรี้ยง ! 

    ลำแสงสีขาวที่ถูกยิง ออกมาจากยานแม่ขนาดใหญ่ลักษณะเหมือนดาวเคราะห์ มีวงแหวนติดอาวุธลำแสงส่งการโจมตี เข้าไปที่รยางค์เส้นหนึ่งอย่างต่อเนื่อง  จนแทบจะทำลายมันได้อยู่แล้ว แต่ผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียวมันก็กลับฟื้นขึ้นมาใหม่เหมือนมันไม่ได้โดนโจมตีมาก่อน   ไม่ว่าจะโดนการโจมตีมากมายเท่าไหร่ ก็ฟื้นตัวขึ้นมาได้เร็วเท่ากัน กองยานรบรอบๆหลายล้านลำเองก็เปิดศึกโจมตีกองทัพอสูรมืดอยู่ในอวกาศ

ห้องบัญชาการยานแม่ อารยธรรมสตาไลท์

บุรุษผู้หนึ่ง ยืนมองสถานการณ์ผ่านจอประมวลผลด้วยสีหน้าทุกข์ใจ

“ พวกเราคงเหลือเพียงหนทางเดียว ” เขากล่าวออกมาด้วยเสียงสิ้นหวัง การโจมตีทุกอย่างทำได้เพียงถ่วงเวลาดูดกลืนของมหาอสูรร้ายไปเท่านั้น

 

“ ท่านจอมพลเราจะเชื่อถือ ตำนานโบราณนั่นได้จริงๆรึ ” ชายชราในชุดมหาเสนาบดีกล่าวขึ้นด้วยความกังวล เขารู้ว่ามันสิ้นหวังแล้วสำหรับสถานการณ์เบื้องหน้านี้  ท่ามกลางอารยธรรมมากมายใน เขตดาวชั้นนอกและชั้นในที่พินาศไป เหลือเพียงอารยธรรมยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงสองเท่านั้นที่ยังต่อสู้อยู่เพื่อความหวัง   หากดวงอาทิตย์ถูกทำลายลง ระบบสุริยะก็จะพังพินาศทั้งหมด

 

“ ราชวงศ์และชนชั้นสูง ขึ้นยานอพยพไปแล้วรึ ” ท่านจอมพลกล่าวเสียงเบาหลังตัดสินใจบางอย่างได้

“ เราส่งพวกเขาออกไปจากเขตดาวชั้นในแล้วเมื่อสองชั่วโมงก่อน  แต่องค์จักรพรรดิและราชินีทรงตั้งมั่นอยู่ในราชวังไม่อพยพไปด้วย”

“ พระองค์เพียงส่งองค์รัชทายาทพร้อมกับชนชั้นสูงรุ่นเยาว์ และผู้มีความรู้ความสามารถขึ้นยานไปเท่านั้น ” มหาเสนาบดีกล่าวตอบด้วยความสงบ หากมิใช่เพราะการแก่งแย่งชิงดีทำร้ายกันเองของผู้มีอำนาจในตอนที่ถูกรุกรานช่วงแรก  สถานการณ์อาจจะไม่เลวร้ายถึงเพียงนี้ แต่เมื่อถึงคราวพินาศคนพวกนี้มักจะเป็นพวกแรกที่เอาตัวรอดก่อนใคร  จักรพรรดิทรงต้องการกำจัดเนื้อร้ายพวกนี้  จึงทรงใช้กำลังทหารกักตัวเหล่านักการเมืองนี้ไว้กับพระองค์ในห้องประชุมงานราชวังโดยไม่ให้ไหวตัวทัน

 

“ ติดต่อจักรพรรดินีซิลเวอร์มูน ”

 

อีกด้านหนึ่งของดวงอาทิตย์ 

        ดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณมีผู้ฝึกตนนับพันบินอยู่บนท้องฟ้าท่ามกลางดวงดาราเหมือนเทพเซียน แสงจากเวทย์โจมตีมากมายพุ่งเข้าทำลายกองทัพอสูรเหี้ยม มีอสูรมืดนับไม่ถ้วนถูกทำลายแตกสลายไป   แต่เหล่าเทพเซียนเองก็ถูกการโจมตีพลีชีพสวนกลับจนลดน้อยลงทุกที   

        บริเวณสนามรบหลัก ตรงรยางค์อีกเส้นหนึ่งที่ดูดพลังงานจากดวงอาทิตย์ มีกระถางสำริดหกขาขนาดใหญ่ บินหลบการโจมตีจากอสูรร้ายระดับแม่ทัพ และคอยใช้เวทย์อาคม อาวุธเวทย์ และคำสาปเข้าโจมตี มองเห็นเป็นเส้นลำแสงหลากสียิงใส่รยางค์เส้นนั้นอย่างดุเดือด 

ด้านในกระถางสำริด มีเซียนเฒ่าทั้งหญิงชายประจำอยู่หกคน ตามเขตอาคมวงเวทย์ หกแฉกคอยใช้อาคมของสมบัติเทวะ ตรึงความเคลื่อนไหวของรยางค์ยักษ์เอาไว้ ทำให้มันดูดพลังงานจากดวงอาทิตย์ได้ช้าลงอย่างมาก     

        ด้านข้างกระถางมีเซียนสาวหน้าหมดจดงดงาม ในชุดขาว ใส่รัดเกล้าลักษณะคล้ายมงกุฎส่องแสงสีเงินอ่อนๆ  ใบหูมีลักษณะเรียวแหลมเล็กน้อย  กำลังควบคุมอาณาเขตค่ายกลกระบี่ ทำลายเหล่าแม่ทัพอสูรมืดนับพันตนที่พยายามฝ่าเข้ามาทำลายกระถางสำริด

อารยธรรมซิลเวอร์มูนนั้นเป็นพันธมิตรกับอารยธรรม มนุษย์มาช้านาน มีรูปร่างสวยงามทั้งหญิงและชายมีอายุไขยาวนาน ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเผ่าเอลฟ์แสงจันทร์ มีนิสัยเงียบสงบรักสันติ

         ทันใดนั้น มีแสงกระพริบ จากแผ่นหยกที่ติดอยู่ข้างสายรัดเอวของนาง หลังจากสัมผัสถึงข้อความที่ถูกส่งมาก็ถอนใจออกมาเบาๆ ในที่สุดทางนั้นก็ตัดสินใจได้

“  ท่านผู้อาวุโสสูงสุดลงมือเถิด ” นางกล่าวออกมาเบาๆผ่านทางหยกสื่อสาร

 

         ณ ชายขอบเขตดาวชั้นใน  บนดาวเคราะห์ขนาดเล็กดวงหนึ่ง เต็มไปด้วยข่ายอาคมพรางตัวทำให้รอดพ้นไปจากพวกอสูรมืด  มีหญิงชรานางหนึ่ง นั่งเหม่อมองออกไปยังดาราจักอันกว้างใหญ่ อยู่บนแท่นพิธีที่ถูกประกอบขึ้นจากแกนต้นไม้โลกและผลึกวิญญาณดาราอันล้ำค่า รอบแท่นพิธีทั้งสี่มุมมีร่างสี่ร่างนอนสงบนิ่งอยู่ในข่ายอาคม  ทั้งสี่ร่างนี้คืออดีตจักรพรรดิและจักรพรรดินีที่มีขอบเขตฝึกตนอันน่าตื่นตะลึง

         นับตั้งแต่ก่อตั้งอารยธรรมซิลเวอร์มูนมีผู้ปกครองที่มากความสามารถนับร้อย  แต่มีเพียงสี่คนเท่านั้นที่ตัดผ่านเหนือขอบเขตเซียนขึ้นไปได้ สามารถปกครองอาณาจักรได้นับล้านปีก่อนจะสิ้นอายุขัย ถึงแม้ดวงจิตจะดับไปแต่ใช้ทรัพยากรมากมายเพื่อเปลี่ยนร่างตนให้กลายเป็นสมบัติระดับเทพ เพื่อให้สามารถเก็บแก่นแท้พลังฝึกตนทั้งหมดไว้จวบจนปัจจุบัน  เนื่องเพราะมหาจักรพรรดิทั้งสี่ในยามมีชีวิต ทำนายได้ถึงมหาวิบัติสิ้นยุค ที่จะมาถึงในอนาคตจริงเตรียมการเอาไว้อย่างลับๆสืบทอดกันมาในราชวงศ์ต่อมาเรื่อยๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ