ปี ค.ศ.2500 เกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นบนโลก อาจด้วยความโลภความไม่รู้จักพอของมนุษย์ มีหลายประเทศต้องสูญสิ้นไป ภูเขาพังทลาย เกาะหลายแห่งจมลงไปในมหาสมุทร กัมมันตภาพรังสีจากระเบิดนิวเคลียร์กระจายไปทั่วโลก บางทีมันอาจไม่มีผู้ชนะตั้งแต่ต้น ผู้มีอำนาจที่เหลืออยู่ต่างก็กลายเป็นผู้แพ้ด้วยกันทั้งนั้น ทรัพยากรที่แย่งชิงกันก็ถูกทำลายแทบหมดสิ้น สุดท้ายแล้วหลังจากที่สิ่งมีชีวิตล้มตายเกินครึ่งโลก
ในขณะที่ความบ้าคลั่งกำลังจะกลืนกินโลกไปนั้นเอง
บนท้องฟ้าก็เกิดเสียงดั้งก้องกังวานขึ้นมา ดาวหางมากมายร่วงหล่นลงมาเหมือนวันสิ้นโลก
นี่เป็นเหมือนการลงโทษจากพระเจ้าต่อมนุษย์ผู้ทำลาย สนามแม่เหล็กโลกเกิดเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง กฎต่างๆเหมือนถูกสร้างใหม่ เทคโนโลยีต่างๆรวมทั้งสิ่งก่อสร้างถูกทำลายหมดสิ้น อารยธรรมเหมือนจะถอยกลับไปในยุคเริ่มต้นอีกครั้ง
หลังจากการทำลายล้างสิ้นสุดลง มนุษย์ส่วนน้อยเพียงสิบเปอร์เซ็นที่รอดจากการลงทัณฑ์จากพระเจ้า ก็เริ่มออกมาจากที่หลบซ่อน เพียงแต่ครั้งนี้ โลกได้เปลี่ยนไปจนน่าตะลึง พลังงานบางอย่างที่มาพร้อมกับดาวตกนั้นเป็นพลังงานแบบใหม่แทรกซึมไปทุกแห่ง ผู้คนเรียกมันว่าพลังปราณวิญญาณ
เศษดาวตกที่ตกลงมากระจายไปทั่วโลกนั้น ล้วนเป็นหยกทั้งสิ้น มันประกอบด้วยกฎเกณฑ์บางอย่าง หลังจากที่มีคนไปสัมผัสจะสามารถรับรู้ได้ถึงข้อมูลเคล็ดวิชาฝึกปราณต่างๆ ทักษะยุทธ การสร้างอาคม การจารึก และการสร้างสมบัติเวท สิ่งเหล่านี้ทำให้มนุษย์พัฒนาศักยภาพตนเองไปได้ไกลมากขึ้น
ทั้งพลังปราณวิญญาณนี้ยังเป็นพลังงานสะอาดไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อโลก ผู้ฝึกฝนปราณยังมีอายุยืนยาว ทรงพลังกล้าแกร่ง ดั่งเช่นตำนานเล่าขานของทวยเทพจากยุคโบราณ เหล่าผู้เหลือรอดต่างตัดสินใจฝังอดีตที่เคยผิดพลาดทิ้งไป และเริ่มต้นใหม่ด้วยทิศทางที่ต่างจากเดิม ประวัติศาสตร์แห่งยุคผู้ฝึกปราณได้เริ่มต้นขึ้น
สองหมื่นปีหลังยุคใหม่
ชายแดนแคว้น ฉู่
ท่ามกลางกองซากศพเหล่าทหาร ส่งกลิ่นโลหิตฟุ้งกระจายไปทั่ว ขณะที่เหล่านกแร้งกำลังจิกกินซากศพกันอย่างสบายใจ มือข้างหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมาจากกองซากศพจับคอนกแร้งตัวหนึ่งไว้
แครก!
มือนั้นบิดหักคอนกแร้งทิ้งแล้วโยนศพมันออกไปด้านข้าง เด็กหนุ่มคนหนึ่งเส้นผมยุ่งเหยิงเกาะไปด้วยคราบโลหิต หน้าตาคมคายแต่แฝงด้วยความเยาว์วัย ค่อยๆคลานออกมาจากกองซากศพ เขาใช้ทวนในมือพยุงตัวขึ้นมา พลางใช้มือกุมศีรษะไว้
“ ข้าอยู่ที่ไหน ” เขาบ่นพึมพำออกมาเบาๆ ความทรงจำของเขาทับซ้อนยุ่งเหยิงมาก
ผ่านไป สิบลมหายใจ เขาถึงเริ่มประติดประต่อเรื่องราวทุกอย่างได้
“ ข้าชื่อ เหยียนฮ่าว ”
“ ข้าคือ ตัวแทนตระกูลเหยียน มาออกรบในศึกปกป้องชายแดนแคว้น ฉู่ ”
“ พวกเราแพ้..”
“ แต่ความทรงจำที่เหลือในหัวข้านี่มัน ” เขาค่อยนึกย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆ
หลังจากสู้รบจนเหนื่อยอ่อน อยู่ในดงข้าศึก ในขณะที่ท่านแม่ทัพส่งสัญญาณถอยทัพ แต่ตัวเขากลับถูกลอบโจมตีจากทหารองครักษ์ข้างตัว ดาบเล่มนั้นแทงทะลุอกข้างซ้าย ออกมาครึ่งเล่ม พลังปราณที่ถูกส่งเข้ามาทำลายหัวใจเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ หลังจากนั้นเพียงหนึ่งลมหายใจเขาก็ค่อยๆทรุดลงไปบนพื้น แล้วก็ภาพทุกอย่างก็ค่อยๆมืดลง
ในความคิดตอนนั้นมันช่างสับสน สหายอันประเสริฐที่เติบโตมาด้วยกันดั่งพี่น้องกลับหันอาวุธเข้าหาเขา
“ เพราะเหตุใด ” คำถามนี้วนเวียนอยู่ในใจจนสติค่อยๆหายไป
ในตอนเขาคิดว่ากำลังจะตายนั้นเอง เขาก็เห็นประตูหยกบานหนึ่งในความมืด ที่มักจะปรากฏมาในความฝันเขาบ่อยๆตั้งแต่สมัยยังเด็ก
“ เจ้ามาแล้วเด็กน้อย ” เสียงที่ดูแก่ชราดังเข้ามาในความคิดเหยี่ยนฮ่าว
“ ท่านคือใคร ข้าอยู่ที่ไหน นี่หรือข้าตายไปแล้ว ” คำถามต่างๆดังขึ้นในใจ ภาพสุดท้ายที่เหยี่ยนฮ่าวเห็นคือ คมดาบที่แทงทะลุอกข้างซ้ายเขาออกมา หรือที่นี่คือสวรรค์ แต่ทำไมเขาถึงพบเพียงประตูหยกบานเดียว
เงียบบ
มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ ก่อนที่จะมีเสียงถอนหายใจเบาๆ
“ ข้าชื่อ ซือคงอู่ ข้าใช้เต๋าแห่งการทำนาย ล่วงรู้ถึงความลับสวรรค์ เวลาแห่งสงครามตัดสิ้นชะตากรรมมวลมนุษย์ทั้งหมดเหลือเพียงแค่สิบสามปี” เสียงชายชราดังขึ้นอีกครั้ง
!!
“ สิบสามปีรึ ท่านรู้ได้อย่างไร ” เหยี่ยนฮ่าวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสับสน
“ จงดู ! ” เสียงนั้นดังขึ้น ก่อนที่ภาพมากมายจะปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
ภาพกองทัพอสูรมืดจำนวนมากมายมหาศาลเข้ากลืนกินดวงดาว ทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ภาพอารยธรรมต่างๆที่สูญสิ้นไป ภาพดวงอาทิตย์ที่ถูกดูดกลืนจนดับสลาย เหยี่ยนฮ่าวเฝ้าดูเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยจิตใจที่สั่นเทา
ภาพกองซากศพเหล่านั้น กลับกลายเป็นบุคคลที่เขารัก บิดามารดา ครอบครัว ตระกูลของเขาเอง
ม่ายยยย! เสียงกรีดร้องแห่งความคลุ้มคลั่งของเขาดังขึ้น
ข้าไม่ยินยอมมันต้องไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด!!
หลังจากฟื้นคืนสติกลับมาเขาก็กล่าวถามทันที
“ เหตุใดท่านจึงแสดงภาพเหล่านี้ให้ข้าเห็น ” เหยี่ยนฮ่าวถามขึ้น เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ตัวเขามีพลังเพียงน้อยนิดต่อให้รับรู้เรื่องเหล่านี้ไปก็ไม่มีส่วนช่วยต่อเรื่องราว
“ ภาระนี้เป็นของเจ้า !! ” เสียงชายชรานั้นสั่นสะเทือนเข้าไปถึงจิตวิญญาณเหยี่ยนฮ่าว
“ เวลาไม่มีอีกแล้ว เจ้าหลงอยู่ในบ่วงกรรมแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนานเกินไป ข้าจึงต้องใช้พลังส่วนสุดท้ายดึงเจ้าเข้ามาที่นี่ ” สิ้นเสียง ก็ได้มีภาพตัวตนต่างๆของเหยี่ยนฮ่าวในอดีตชาติ ที่ผ่านการเกิดใหม่ถึงแปดชาติภพ จนถึงภพปัจจุบันซึ่งเป็นภพที่เก้า ซึ่งได้สร้างความตื่นตะลึงให้เหยี่ยนฮ่าวเป็นอันมาก ความรู้สึกลึกๆในจิตวิญญาณของเขา บ่งบอกว่าทุกสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริง นั่นคือชาติก่อนของเขาจริงๆ
เขาใช้เวลาคิดทบทวนซักพักก่อนที่จะถามขึ้น “ ข้าต้องทำอย่างไร จึงจะมีพลังที่จะปกป้องโลกของข้าได้ ”
เสียงนั้นเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนที่จะมีภาพ แผ่นหลังของบุรุษผู้หนึ่ง ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เขายกแขนขวาขึ้น แล้วกำหมัดชกออกไปเบาๆ
ตูม! เพล้ง!
เสียงเหมือนกระจกแตกดังขึ้น ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่พังทลาย เกิดหลุมดำขนาดใหญ่ขึ้นแทนที่ท้องฟ้า พลังทำลายล้างอันมหาศาล ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ผืนแผ่นดินสั่นไหวเกิดเป็นรอยแยกนับไม่ถ้วน เหมือนโลกทั้งใบสั่นสะเทือนเพราะไม่สามารถรองรับพลังของบุรุษผู้นี้ได้ ภาพเงาร่างนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับเหยี่ยนฮ่าวอย่างบอกไม่ถูก มันค่อยๆจางหายก่อนที่เสียงชายชราจะดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ เจ้าเพียงต้องจำให้ได้ ว่าเจ้าคือใคร ”
หลังสิ้นเสียงของชายชรา ประตูหยกในความคิดของเยี่ยนฮ่าวก็แง้มเปิดออกมา ตัวเขาถูกดูดเข้าไปทันที เขารู้สึกเหมือนตัวเองข้ามผ่านทะเลดวงดาว ทะลุกาลเวลาจนมาถึงดาวดวงหนึ่ง
ในนั้นเขาพบตัวเองกลายเป็นเด็กทารก อยู่ในพระราชวังใหญ่โตมโหฬารมีข้ารับใช้มากมายคอยดูแลตั้งแต่เด็ก ข้ารับใช้ทุกคนในพระราชวังนั้นล้วนแต่ รูปร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปหลายเท่า มีผมสีแดง ดวงตาสีแดง มีกลิ่นอายสังหารเหมือนผ่านการเข่นฆ่ามานับไม่ถ้วนไม่น่าจะใช่คนบนโลก
หลังจากที่จำความได้เขาไม่เคยพบพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมาก่อน เหล่าข้ารับใช้ในวังสอนให้เขาจับอาวุธตั้งเริ่มหัดเดิน เข้ารับฝึกฝนการต่อสู้ทุกอย่างดาบ หอก กระบี่ เกาทัณฑ์ด้วยความเข้มงวด ภาษาอันแตกต่างความรู้ต่างๆที่ไม่คุ้นเคยถูกสอนให้เขา ด้วยร่างกายที่ทรงพลังตั้งแต่เกิด พรสวรรค์ในการต่อสู้อันสูงส่ง ทำให้เขาผ่านการฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว
ในโลกนี้เหมือนเด็กทุกคนที่เกิดมาจะมีขั้นพลังยุทธอยู่ในระดับรวมปราณตั้งแต่ต้น แตกต่างกับในโลกของเขาที่ต้องเริ่มฝึกฝนจากนักสู้ระดับหนึ่งไปจนถึงระดับเก้าถึงจะทะลวงไปสู้ขั้นรวมปราณได้
จนเมื่ออายุห้าขวบ ขั้นพลังของเขาก็ไต่ระดับไปถึงปราณปฐพีโดยธรรมชาติ ผ่านไปอีกห้าปีตอนเขาอายุสิบขวบเขาก็เสร็จสิ้นการฝึกฝนพื้นฐานทั้งหมด เวลานี้ซึ่งน่าจะเทียบเท่าระดับปราณนภาบนโลก ในโลกของเขานั้นปราณนภาเป็นระดับพลังของเจ้าเมืองชั้นสูงเลยทีเดียว
หลังจากผ่านการทดสอบพร้อมกับเด็กคนอื่นๆนับร้อยคน ก็ถูกนำตัวไปทิ้งไว้ในสนามรบในโบราณสถานซักแห่ง ต้องต่อสู้กับสัตว์อสูรต่างมิติอันน่าสะพรึงกลัวรูปร่างใหญ่โต ตัวเขาในความฝันก็เลือกหอกเป็นอาวุธคู่กายเช่นกัน ทุกกระบวนท่าของเขารวดเร็ว แม่นยำ รุนแรงสามารถสังหารสัตว์อสูรขนาดยักษ์ได้สบาย
หลังผ่านการฆ่าฟันนับไม่ถ้วนมาห้าปี จนกระทั่งเขาเติบโตเป็นเด็กหนุ่ม ในวันนี้พลังสายเลือดของเขาถูกกระตุ้นตื่นขึ้น เขาสามารถดูดซึมความแข็งแกร่งจากสัตว์อสูรที่สังหารได้ ยิ่งเขาฆ่ามากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น พละกำลังที่ใช้ไปก็ถูกเติมเต็มโดยไม่ต้องพักผ่อน หลังผ่านการต่อสู้ไปเนิ่นนานหอกเหมือนกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย คนและหอกประสานกันเป็นหนึ่ง เขาสามารถบุกทะยานสังหารเข้าไปใจกลางกองทัพอสูรนับร้อยอย่างง่ายดาย
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ จนกระทั่งสนามรบแห่งนี้ เหลือเพียงกองซากศพของสัตว์อสูรมากมายหลายแสนตัวทับถมกัน จากนั้นผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งมานำตัวเขากลับไปที่พระราชวังอีกครั้ง
ที่นั่นเขาได้เจอกับเด็กหนุ่มสาวอีกสิบสี่คนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ละคนเต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีสังหารจากการเข่นฆ่านับไม่ถ้วน จากเด็กนับร้อยคนมีเพียง สิบห้าคนเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบในเวลาที่กำหนด
พวกเราถูกนำตัวไปยังวิหารแห่งหนึ่ง ที่ถูกป้องกันอย่างแน่นหนาจากกองทหารนับแสนภายในวิหาร มีแผ่นหินขนาดใหญ่สูงนับร้อยเมตรอยู่สามแผ่น ลอยอยู่ในแท่นตรงกลางวิหาร แผ่นหินสองแผ่นในนั้นพร่าเลือน เหมือนถูกปกคลุมด้วยหมอกแห่งกฎเกณฑ์ชั้นสูง ไม่ว่าจะเพ่งมองอย่างไรก็ไม่สามารถมองเห็นได้ ซ้ำยังรู้สึกเจ็บดวงตาจนต้องหันสายตาไปทางอื่น
มีเพียงแผ่นหินด้านซ้ายสุด เท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้อย่างชั้นเจนโดยไม่มีหมอกสีดำปกคลุม พวกข้ารับใช้ในวังพากลุ่มพวกเราไปยังที่แผ่นหินนั้น แล้วจึงถอนตัวออกไป
บนแผ่นหินแผ่นนั้นประกอบด้วยอักขระลูกน้ำแปลกๆหมุนวนไปมา ไม่สามารถอ่านออกได้ หลังจากนั้นมีชายชราในชุดนักบวชสีแดง เดินเข้ามาพร้อมถาดสีทอง ที่มีของเหลวสีรุ้งลอยอยู่สิบห้าหยด
พิธีกรรมสืบทอดได้เริ่มขึ้น หยดของเหลวได้ลอยมาสัมผัสตรงหน้าผากของเด็กทุกคนและถูกดูดซึมเข้าไป แผ่นหินเบื้องหน้าก็เปล่งประกายออกมา ข้อมูลจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้าสมองเขาทันที นั่นคือภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็น ความมืดได้เข้ามาครอบครองสติอีกครั้ง จนไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่เขาก็ถูกปลุกให้ตื่นโดยนกกินศพ
“ มันคงไม่ใช่เพียงความฝัน ข้าสัมผัสได้ถึงความรู้สึกทุกอย่างชัดเจน รสชาติอาหาร กลิ่นคาวโลหิต แม้กระทั่งความรู้สึกตอนต่อสู้ ”
“ เวลาสิบสามปีงั้นรึ แล้วข้าคือใครกัน ” เขาบ่นออกมาเบาๆ เพราะภาพเหตุการณ์ที่เขาได้ประสบมา เหมือนมีพลังบางอย่างปิดกั้นจิตวิญญาณเขาเอาไว้ ให้ไม่ให้รับรู้ถึงตัวตนของเขาในความฝัน ทุกครั้งที่มีผู้เอ่ยนามของเขาภาพเหตุการณ์จะพร่าเลือนไปชั่วขณะทันที
“ ตอนนี้ข้ารู้เพียงข้าต้องแข็งแกร่งขึ้น ข้าต้องการพลังเพื่อจะปกป้องคนที่ข้ารัก ” เขาตั้งปณิธานขึ้นในใจด้วยความมุ่งมั่น ลางสังหรณ์บอกเขาว่า ทุกครั้งที่เขาแข็งแกร่งขึ้น ความทรงจำจะค่อยๆฟื้นคืนมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ