ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ นิยาย บท 8

ณ  โบราณสถานใจกลางป่าต้องห้าม

            คนกลุ่มหนึ่งกำลังทำพิธีบางอย่างอยู่ตรงทะเลสาบอันเย็นยะเยือกที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง  ประกอบไปด้วยชายชราสี่คน  ที่มีระดับพลังไม่ธรรมดา เพียงแต่สีหน้าซีดขาวเล็กน้อยเหมือนได้รับบาดเจ็บภายใน หนึ่งในนั้นที่มีรัศมีทรงพลังที่สุด รูปร่างสูงใหญ่ไว้เคราสีขาวยาวถึงอก แม้จะอายุมากแล้วแต่ผิวหนังยังเต่งตึง มีสง่าราศีดุจเทพเซียน  เขาหันมองไปด้านหนึ่งแล้วถอนหายใจออกมา

            “ ออกมาเถอะ  ”  เขาเปล่งเสียงออกไม่ดังมาก แต่มันกลับสะท้อนไปทั่ว แสดงให้เห็นถึงลมปราณอันลึกล้ำ

            “ ท่านปู่ ” เงียบอยู่เพียงสองลมหายใจ  ก็มีหญิงสาวนางหนึ่งเดินออกมาร้องเรียกเบาๆ นางมีใบหน้ารูปไข่งดงามหมดจด ผมสีดำเป็นประกาย รูปร่างสูงโปร่ง อายุประมาณยี่สิบปีด้านหลังนางมีหญิงวัยกลางคนเดินตามออกมา เหมือนเป็นผู้คุ้มกันแสดงสีหน้าเหมือนอับจบหนทาง

            “ เจ้ามาทำอะไรที่นี่…ทำไมถึงขัดคำสั่งปู่ ”  ชายชราดุออกมาเสียงดัง

            “ แต่ข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลผู้พิทักษ์  มีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินนี้เช่นกัน ข้าไม่อาจปล่อยให้พวกท่านต้องเสียสละชีวิตเองได้ ”  นางกล่าวออกมาอย่างไม่ยอมแพ้

 

            “ ไป่ซือเหยา! ในเมื่อเจ้ารู้ตัวเองเป็นคนในตระกูลผู้พิทักษ์  ก็ควรรู้ด้วยว่าจะต้องแบกรับความรับผิดชอบอะไรบ้าง  พวกข้ายอมตายได้  แต่เจ้าต้องรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อปกป้องแผ่นดินนี้ไม่ให้การเสียสละของพวกเราต้องเสียเปล่า ”

          “ คนในตระกูลผู้พิทักษ์ไม่เกรงกลัวความตาย  ท่านปู่ ข้าสืบทอดสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดของบรรพบุรุษเซียนไว้ เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเสริมผนึกตราประทับสะกดมารไว้  เราไม่ต้องถกเถียงกันอีกแล้ว ” ไป่ซือเหยาตอบอย่างเด็ดเดี่ยว

 

          เห็นไป่ซือเหยาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดชายชราเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจยาว กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 

“ ซือเหยาเจ้าอายุยังน้อยทั้งยังมีศักยภาพสูงที่สุดในรอบพันปีของตระกูลเรา อนาคตเจ้าจะก้าวข้ามปู่เป็นเสาหลักให้ตระกูลเราในวันข้างหน้า  ตัวปู่เองไม่มีศักยภาพพอ ไม่สามารถฝ่าด่านทัณฑ์สายฟ้าก้าวไปเป็นเซียนได้  เพียงอยู่รอวันหมดอายุขัย ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องมาพูดถึงเรื่องนี้อีก ”  ขณะที่พูดเขาก็โบกมือ

กระแสปราณระเบิดขึ้นกะทันหัน ตรงเข้าสกัดกั้นเส้นลมปราณไป่ซือเหยาไว้ทันที ทำให้ไม่สามารถขยับกายหรือเคลื่อนไหวได้

“ ท่านปู่ ! ”  นางอุทานด้วยความตกใจ  นึกไม่ถึงว่าท่านปู่จะใช้วิธีนี้ ความตระหนกความกังวลผสมอยู่ในหัวใจของนาง ทำให้น้ำตาซึมออกมาที่ขอบตาดูน่าสงสาร นับตั้งแต่นางเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก ท่านปู่เป็นคนที่รักและดูแลสั่งสอนนางมาโดยตลอด  ตลอดเวลาสิบห้าปีท่านปู่ทุ่มเทเวลาทั้งหมดฝึกฝนเลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่  ความผูกพันนั้นไม่ต้องคำนึงถึง

ชายชราไม่หวั่นไหวกับท่าทีของของไป่ซือเหยา เขาหันไปสั่งการอย่างเด็ดขาดกับหญิงวัยกลางคนที่เป็นผู้คุ้มกัน

“ ปกป้องนางให้ดี ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ห้ามให้เกิดอันตรายกับนาง ”

 

“ บ่าวทราบ ” ผู้คุ้มกันหญิงรับคำอย่างหนักแน่น  แล้วรับเอาไป่ซือเหยาหลบออกไป ด้านข้าง

ชายชรายืนหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง เขาคิดย้อนไปถึงความทรงจำในอดีต

ตัวเขาเอง มีนามว่าไป่เทียนหยู่  เป็นอดีตผู้นำตระกูลผู้พิทักษ์คอยปกป้องดูแลผืนแผ่นดินทั้งเจ็ดแคว้นจากสิ่งชั่วร้ายที่มาพร้อมกับดาวตกเมื่อสองหมื่นปีก่อน  พวกมันคือมารที่แท้จริงมาจากนอกโลก  เพียงแค่กลิ่นอายเล็กน้อยจากตัวมันก็ก่อให้เกิดภูตผีวิญญาณร้ายออกอาระวาดเข่นฆ่าผู้คน  จนกระทั่งบรรพชนรุ่นแรกใช้เวลาร้อยปีบวกกับของวิเศษที่ถูกผนึกอยู่ในเศษดาวตกจนทะลุขีดจำกัดกลายเป็นเซียน  เข้าต่อสู้สังหารมารร้ายจนแทบสิ้นซาก เหลือเพียงตัวผู้นำของเหล่ามารร้ายที่ทำได้เพียงผนึกเอาไว้ในป่าแห่งนี้ 

หลังศึกครั้งนั้นท่านบรรพชนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเหลืออายุขัยเพียงสิบปี  ด้วยความกังวลว่าหลังตนเองตายไปมารร้ายจะทำลายผนึกออกมา  ในปีที่สิบก่อนที่ท่านบรรพชนจะสิ้นอายุขัยจึง  สังเวยร่างตนเองเป็นตราประทับสะกดมารให้มันหลับใหลไปตลอดกาล พร้อมทั้งมอบวิธีควบคุมผนึกทิ้งไว้ให้ลูกหลานเป็นผู้รับภาระหน้าที่ในการปกป้องผืนแผ่นดินนี้ต่อไป

ด้วยความที่สืบทอดสายเลือดจากบรรพบุรุษที่เป็นเซียน ทำให้ทุกคนในตระกูลมีพรสวรรค์สูงส่งตั้งแต่เกิดแม้แต่เด็กธรรมดาในตระกูลก็มีพรสวรรค์ระดับทองเป็นอย่างน้อย ส่วนลูกหลานจากตระกูลหลักมักจะเกิดผู้มีพรสวรรค์ระดับเพชรออกมาอยู่เรื่อยๆ 

แต่เหมือนสายเลือดเซียนนั้นแข็งแกร่งจนเกินไปจนฝืนสัจธรรมของโลก  ทำให้ตระกูลผู้พิทักษ์มีทายาทเกิดใหม่น้อยมาก  ผ่านเวลามาเกือบสองหมื่นปี  ปัจจุบันมีคนในตระกูลรวมกันเพียงสองพันคนเท่านั้น

ด้วยถือเอาภาระหน้าที่เป็นสำคัญและชืดชาต่อชื่อเสียง ตระกูลผู้พิทักษ์จึงคอยปกป้องดูแลแผ่นดินอยู่เบื้องหลัง  ไม่เปิดเผยตัวต่อโลกภายนอก มีเพียงบุคคลสำคัญของสำนักระดับสูงเท่านั้นที่มีโอกาสรู้ถึงตัวตนและสามารคติดต่อตระกูลผู้พิทักษ์ได้

แต่เมื่อสิบห้าปีก่อนได้เกิดเรื่องที่สั่นสะเทือนไปทั่วตระกูลผู้พิทักษ์  สำนักมารระดับสูงสี่สำนักหลงเชื่อคำยุยงจากมารร้ายรวมตัวกันเพื่อทำลายผนึกของบรรพชนเซียน  ในศึกครั้งนั้นแม้จะสามารถกวาดล้างสำนักมารเหล่านั้นและปกป้องผนึกเอาไว้ได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง  หนึ่งในเจ้าสำนักมารสังเวยตัวเองทำให้ผนึกอ่อนกำลังลง เปิดโอกาสให้มารร้ายที่ถูกผนึกตื่นจากการหลับใหล และปลดปล่อยการโจมตีออกมาได้เพียงหนึ่งลมหายใจ ทำให้ผู้อาวุโสในตระกูลร้อยกว่าคนและบิดามารดาของไป่ซือเหยาเสียชีวิต

 

และเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ผนึกเริ่มอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ  หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอย่างช้าสุดอีกไม่กี่สิบปี มารร้ายตนนั้นคงทำลายผนึกออกมาได้เอง  การจะซ่อมแซมผนึกต้องใช้โลหิตเซียนที่สืบทอดมาจากบรรพชนเท่านั้น

 

ไป่เทียนหยู่ ลืมตาขึ้นหันไปมองผู้อาวุโสคนอื่นๆและพยักหน้า “ เริ่มกันเถอะ ”

            ขณะที่เขาพูด พลังปราณอันทรงพลังก็ระเบิดออกมาจากร่าง เมื่อได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสด้านข้างพลังปราณนั้นก่อตัวเป็นลำแสงยิงตรงไปกลางทะเลสาบ  พายุพลังงานพัดโหมกระหน่ำ น้ำในทะเลสาบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

            เสาหินขนาดใหญ่สี่เสาค่อยๆลอยโผล่ขึ้นมาจากในทะเลสาบ  แต่ละเสาถูกแกะสลักเป็นอสูรเทวะประจำทิศทั้งสี่ คือ เต่าดำ  มังกรเขียว  หงส์แดง และพยัคฆ์ขาว

เสาหินทั้งสี่เสาเชื่อมต่อด้วยโซ่เส้นใหญ่สีดำ   ใจกลางเขตแดนผนึกของเสาทั้งสี่ มีโรงศพสีดำขนาดใหญ่ถูกมัดด้วยโซ่สีดำที่มาจากเสาทั้งสีด้าน บนโลงศพนั้นมีร่างผอมซูบราวโครงกระดูกอยู่ในชุดสีขาว  ทั่วร่างนั้นเปล่งประกายดุจหยก เพียงแต่ตอนนี้สามารถมองเห็นรอยแตกร้าวมากมายบนร่างนั้น เหมือนจะพังทลายไปได้ทุกเมื่อ   นี่คือร่างของบรรพชนเซียนตระกูลผู้พิทักษ์

ในเวลานั้นสีหน้าของไป่เทียนหยู่เคร่งเครียด  การพังทลายของผนึกเลวร้ายกว่าที่คาดมากนัก  หากยังไม่ได้รับการซ่อมแซม ผ่านไปอีกเพียงสองสามปีเจ้ามารร้ายตนนั้นคงออกมาได้

ไป่เทียนหยู่และผู้อาวุโสเดินเหยียบอากาศตรงไป ที่ร่างของบรรพชนเซียนแล้วกรีดข้อมือออก เลือดทะลักออกมาจากปาดแผล และลอยอยู่บนเขตอาคม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ