แสงสว่างปรากฏบนผิวกระจกที่เต็มไปด้วยรอยร้าว ก่อนภาพภายในกระจกจะกลายเป็นสีเข้ม ประหนึ่งกำลังเชื่อมต่อกับโลกอีกใบหนึ่ง
ทันใดนั้น มือขาวๆ ยื่นออกมากระจก ลักษณะคล้ายกับการแหวกผ่านผิวน้ำ
ร่างหนึ่งเดินออกมาจากกระจก มันสวมเดรสสีดำ ไม่ใช่ใครนอกจากทริสซี่ แม่มดผู้มีใบหน้าอ่อนหวานและงดงาม
ใบหน้าของเธอขาวซีดผิดปรกติ คล้ายกับสูญเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก เหงื่อชุ่มกระจายเต็มหน้าผาก
เสียง ‘แปะ’ ดังขึ้น เกิดจากกระเป๋าในมือของทริสซี่หล่นลงพื้น ดวงตาอัดแน่นไปด้วยความกลัวที่ยากจะเก็บซ่อน
จากนั้น เธอก็พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าเหม่อลอย:
“ผู้ส่งสารของเขา… เป็นเทวทูต”
ทันใดนั้น ทริสซี่รู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง คล้ายกับมีลมหนาวพัดผ่าน
เธอคิดไม่ถึงมาก่อนว่า การอัญเชิญผู้ส่งสารจะอันตรายถึงเพียงนี้ โชคดีที่สตรีสี่หัวทำเพียงจ้องมองอย่างเงียบงันโดยไม่ได้ทำอะไร แค่รับจดหมายและจากไป
…
เขตเหนือ บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ภายในคฤหาสน์ของดอน·ดันเตส
“จากใคร?” ไคลน์รับจดหมายจากมิสผู้ส่งสาร ถามอย่างคาดหวัง
ศีรษะเจ้าของผมสีทองดวงตาสีแดงทั้งสี่ของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์กล่าวเรียงกัน:
“ภาชนะ…” “แห่งความ…” “สกปรก…” “และมืดมิด…”
ฉายาแบบนี้… ไคลน์ผงะเล็กน้อย ยังไม่เข้าใจว่ามิสผู้ส่งสารกำลังหมายถึงใคร
ภายในสมอง รายชื่อของกลุ่มคนที่รู้วิธีอัญเชิญผู้ส่งสารผุดขึ้นทีละหนึ่ง และถูกตัดออกทีละหนึ่ง
ผ่านไปไม่กี่วินาที มันพอจะคาดเดาได้
ทริสซี่!
เท่าที่ไคลน์ทราบ แม่มดผู้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นทริสซี่·ชีค น่าจะเป็นสื่อกลางที่แม่มดบรรพกาลใช้เพื่อลืมตาตื่นหรือเสร็จเยือน
ด้วยนิยามดังกล่าว การจะเรียกว่า ‘ภาชนะ’ ก็ไม่ผิดอะไรนัก
และทุกคนที่เข้าถึงข้อมูลของโลกผู้วิเศษในระดับสูง ย่อมต้องรู้จักแม่มดบรรพกาล และรู้จักว่าท่านเป็นเทพมาร เป็นสุดยอดตัวตนผู้นำพาจุดจบมายังทุกสรรพสิ่ง ผู้สร้างวันสิ้นโลก ผู้ทำลายล้าง ย่อมต้องมีอำนาจในขอบเขตของความปรารถนาและความรู้สึก จึงสามารถนิยามได้ว่า ‘สกปรกและมืด’ ถึงจะไม่ตรงประเด็นนัก แต่ก็พอจะยอมรับได้
ในทำนองเดียวกัน ความสกปรกและความมืดก็สามารถใช้นิยามทริสซี่ ผู้ถูกกัดกร่อนจากเทพมารได้ในระดับหนึ่ง
สมแล้วที่เป็นเทวทูต ถึงได้กล้าเรียกแม่มดบรรพกาลเช่นนั้น… ไคลน์แอบชื่นชม รีบคลี่จดหมายอ่าน
ทันใดนั้น คล้ายกับมันฉุกคิดบางสิ่ง รีบหันไปทางมิสผู้ส่งสารและกล่าว:
“ท่าทีของผู้ส่งเป็นยังไงบ้าง”
“หล่อน…” “กลัว…” “มาก…” สามศีรษะของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์พูดเรียงกัน ปากสุดท้ายที่ไม่มีบทพูดทำได้เพียงอ้าค้างไว้
สีหน้าไคลน์จริงจังขึ้นมาเล็กน้อย ตัดสินใจถาม
“ได้ล็อกตำแหน่งไว้ไหม?”
หัวสุดท้ายของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ที่ไม่มีบทพูดเมื่อครู่ เปล่งเสียงกังวาน
“ไม่…”
อีกสามศีรษะกล่าวเสริมทันที
“เพราะ…” “หล่อน…” “มี…”
“ออร่า…” “ของ…” “บรรพกาล…”
ไคลน์เงียบงันสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับ:
“เข้าใจแล้ว”
เฝ้ามองมิสผู้ส่งสารก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่า ชายหนุ่มคลี่กระดาษออก อ่านจดหมายของทริสซี่
กลับกลายเป็นว่า เธอเป็นฝ่ายชักชวนให้เราช่วยจัดการกับ ‘นักบุญขาว’ คาร์เทอริน่า… ไม่ใช่ว่าเราอยากทำแบบนี้อยู่พอดีหรอกหรือ… ดวงตาไคลน์กะพริบสองสามหน ก่อนจะรีบรื้อหาก้อนเหนียวๆ สีดำที่คล้ายแป้งเปียก
ทันทีหลังจากนั้น มันแปลงโฉมเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ป้ายก้อนสีดำลงบนผิวกระจกบานเล็กภายในห้องอย่างสม่ำเสมอ
รอคอยอย่างอดทนเกือบสิบนาที จนกระทั่งก้อนสีดำที่เหมือนแป้งเปียกใกล้ระเหย ไคลน์ก็ยังติดต่อกับแม่มดทริสซี่ไม่ได้
อย่างที่คิด… ทริสที่ถูกแม่มดบรรพกาลกัดกร่อนในระดับหนึ่ง จึงสามารถรับรู้ถึงระดับของมิสผู้ส่งสาร ยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเทวทูตและเกิดความตื่นตระหนก… เธอคงไม่ติดต่อหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไปอีกสักพักใหญ่… เฮ้อ… ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ คงกำชับล่วงหน้าไม่ให้มิสผู้ส่งสารปรากฏตัวต่อหน้าทริสซี่… หรือไม่ก็บอกกับท่านว่า สามารถนำกลับมาได้ทั้งคนและจดหมาย… ไคลน์ถอนหายใจเงียบงัน ได้แต่รำพันในความโชคร้ายของตน
ทันใดนั้น เสียงสวดวิงวอนมายาพลันดังแว่วในโสตประสาท
“บิดาของฉัน… ท่านเป็นคนแบบไหน?”
ชายสวมหน้ากากทองคำตอบด้วยน้ำเสียงขื่นขม:
“เขาเป็นวีรบุรุษตัวจริง เปี่ยมด้วยคุณธรรม มีหัวใจสูงส่ง แต่เขาไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ ในบางครั้งก็หุนหันพลันแล่น ขี้หงุดหงิด มุทะลุ…”
ซิลตั้งใจฟังอย่างเงียบงัน ลึกๆ ในใจต้องการถามอีกหลายสิ่ง แต่สุดท้ายกลับพูดเพียงว่า:
“ขอบคุณมาก”
“วันนี้กลับไปก่อน… หลังจากที่ผมได้สูตร ‘ผู้พิพากษา’ จะฝากข้อความเพื่อนัดพบอีกครั้ง” ชายสวมหน้ากากทองคำโบกมือ
รอจนกระทั่งแผ่นหลังของซิลหายไปจากตรอก ชายสวมหน้ากากทองคำเตรียมหันหลังกลับ ทันใดนั้น เสียงที่ค่อนข้างล่องลอยพลังดังแว่วข้างหู:
“เธอโกหก… เธอไล่ตามไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดถึงจุดเกิดเหตุ นี่คือเรื่องที่สามารถยืนยันได้”
ชายสวมหน้ากากทองคำเงียบงันสักพัก หันไปทางเงาดำด้านข้างและกล่าว:
“เธอคงกังวลว่า การเล่าเรื่องนั้นจะทำให้ตัวเองถูกสงสัย… ด้วยลำดับของเธอ ไม่มีทางที่จะเอาชนะไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดได้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงตอนที่เขาถือสมบัติปิดผนึกระดับ1… ผมเชื่อว่า เธอคงไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีชีวิตอยู่จวบจนปัจจุบัน”
เสียงที่ล่องลอยพูดตอบ:
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่เธอยังมีจุดที่น่าสงสัย พวกเราจึงต้องสืบสวนต่อไป อย่าพยายามปกป้องอีกเลย”
ด้านนอกตรอก ซิลกำลังเดินไปตามโคมไฟริมถนนด้วยความสงบ
จริงอยู่ เธออาจไม่ได้เล่าว่าตนไล่ตามไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดไป
แต่นั่นไม่ใช่เพราะต้องการปิดบัง หรือเพื่อทำให้ตัวเองพ้นข้อสงสัย จุดประสงค์ที่แท้จริงนั้นตรงกันข้าม
ก่อนชุมนุมทาโรต์ครั้งล่าสุดจะเริ่มขึ้น เธอวางแผนจะสารภาพว่า ตนไล่ตามไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดไปจนถึงโกดังสินค้าในเขตท่าเรือ แต่เกิดตกใจกลัวกับพายุทอร์นาโดที่โผล่ขึ้นอย่างกะทันหัน แบบนั้นจะฟังดูน่าเชื่อถือมากกว่า มีโอกาสรอดพ้นจากการถูกสงสัย แต่หลังจากที่ทราบว่า มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังสนใจเรื่องนี้เช่นกัน ซิลเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย ตัดสินใจที่จะ ‘รายงาน’ โดยทิ้งความน่าสงสัยเอาไว้
ซิลทราบดี ด้วยฝีมือของเธอตามลำพัง การจะสืบหาความลับของกษัตริย์ อีกสามปีหรือห้าปีก็คงไม่ได้เข้าใกล้ความจริงมากนัก หรืออาจไม่มีวันสมหวังไปตลอดชีวิต แต่ถ้ามีความช่วยเหลือจาก ‘เดอะเวิร์ล’ บางที จุดมุ่งหมายของเธออาจลุล่วงได้ง่ายขึ้น
เพื่อการนั้น เธอยินดีที่จะเสี่ยง เสี่ยงโยนตัวเองลงไปขวางกระแสน้ำเชี่ยว
และในวันนี้ ก่อนที่จะมาพบกับชายสวมหน้ากากทองคำจาก MI9 ซิลสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล ขอให้พระองค์ช่วยถ่ายทอดข้อความไปถึง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์
……………………

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ