ไคลน์ถือไม้กางเขนเจิดจรัสไว้ในมือข้างหนึ่ง ถือคทาเทพสมุทรไว้ในมืออีกข้าง จ้องมองโลกความจริงผ่านดวงดาวสีแดงเข้มที่เป็นตัวแทน ‘จัดจ์เมนต์’
ภายในเนตรวิญญาณของชายหนุ่ม ในตรอกมืดดังกล่าว นอกจากมิสซิลที่มีส่วนสูงไม่มาก และเจ้าหน้าที่ของMI9 ผู้สวมหน้ากากทองคำ ยังมีอีกหนึ่งคนซ่อนอยู่
เป็นชายในวัยสามสิบ ไม่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เฉกเช่นชาวทวีปเหนือตอนกลางอย่างโลเอ็น อีกฝ่ายไม่เพียงจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเงามืด มันยังมาพร้อมกับพลังในการ ‘ถูกมองข้าม’ หากไม่ใช่เพราะไคลน์อยู่บนมิติหมอก มีวิสัยทัศน์กระจ่างชัด ชายหนุ่มสงสัยว่าแม้แต่ตนก็คงหาอีกฝ่ายไม่พบ เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายจะลงมือจนสัมผัสวิญญาณของตนถูกกระตุ้น กลายเป็นนิมิตลางสังหรณ์
พลังซ่อนตัวในเงา ผนวกกับการพรางตัวทางจิตวิทยา? ครึ่งหนึ่งเป็นพลังจากสมบัติวิเศษ อีกครึ่งหนึ่งเป็นพลังจากลำดับ… สรุปโดยสั้น หมอนั่นยังไม่ใช่ครึ่งเทพ…
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น… ในสายตาของฝ่ายกษัตริย์ มิสซิลมีลำดับไม่เกิน 7 และไม่มีสมบัติวิเศษที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ หากเธอเกี่ยวข้องกับไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจริง คงเป็นฝีมือของผู้สนับสนุนเบื้องหลังมากกว่า หรืออาจเป็นถึงองค์กรลับ… ท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังปั่นป่วนในปัจจุบัน การส่งครึ่งเทพที่ล่วงรู้ความลับเยอะมาตรวจสอบโดยตรง มีโอกาสสูงที่จะตกหลุมพราง แต่ถ้าส่งครึ่งเทพที่ไม่รู้ความลับใดเลยมาตรวจสอบ ก็มีโอกาสสูงที่ข้อมูลเหล่านี้จะรั่วไหลไปยังโบสถ์หลักทั้งสาม นำไปสู่การถูกสอบสวน…
ดังนั้น บุคคลที่เหมาะสมที่สุดคือผู้วิเศษลำดับ 5 หรือ 6 ที่ไม่รู้ความลับมากเกินไปเนื่องด้วยข้อจำกัดทางด้านตำแหน่ง และต้องฝีมือพอตัว… ไคลน์พึมพำเงียบ ขจัดความคิดที่จะ ‘เทเลพอร์ต’ ไปในนามเกอร์มัน·สแปร์โรว์และจับกุมพวกมัน
สอบสวนคนแบบนี้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์!
ชายหนุ่มตัดสินใจรอคอยอย่างอดทน รอจนกว่าโอกาสจะมาถึง
แน่นอน ไคลน์ไม่คิดจะเฝ้าอยู่บนมิติหมอกตลอดเวลา เพราะถ้าทำแบบนั้น ร่างหลักของมันบนโลกความจริงจะขาดการป้องกันนานเกินไป อุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยอาจนำพาไปถึงจุดจบ ด้วยเหตุนี้ มันจึงตัดสินใจสร้างยันต์และแจกจ่ายให้กับจัดจ์เมนต์และเมจิกเชี่ยน รวมถึงสมาชิกคนอื่นๆ ของชุมนุมทาโรต์ หากใครเผชิญพบเหตุไม่คาดฝัน ให้รีบกระตุ้นยันต์ทันที จากนั้นก็จะได้รับความช่วยเหลือจาก ‘เดอะเวิร์ล’
วิธีนี้สะดวกกว่าการเอ่ยพระนามเต็มเดอะฟูลเพื่อ ‘แจ้งข่าว’ ผ่านพระองค์!
ไคลน์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดของอาเรียนน่า ผู้นำนักบวชแห่งโบสถ์รัตติกาล หลักการคือการ ‘ย่อ’ พิธีกรรมที่บ่งชี้ถึงตัวเองลงในวัตถุ จากมุมมองของศาสตร์เร้นลับ หลักการในเรื่องนี้ไม่ยุ่งยากซับซ้อน สิ่งที่ยากก็คือ เป้าหมายของพิธีกรรมต้องมีพลังในการรับข้อมูลและตอบสนองจากระยะไกล กล่าวอีกนัยหนึ่ง ระยะทางค่อนข้างจำกัดสำหรับนักบุญลำดับ 3 หากไม่อยากเผชิญข้อจำกัด เป้าหมายต้องอยู่ในระดับเทวทูตเป็นอย่างน้อย
สำหรับครึ่งเทพหน้าใหม่อย่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มันสามารถสร้างยันต์ที่ระบุถึงตัวเองได้โดยการกำหนดให้เป้าหมายเป็น ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่า จากนั้นก็ตอบสนองด้วยมิติสายหมอกซึ่งมีขอบเขตเป็นโลกทั้งใบ
อาจฟังดูซับซ้อน แต่สรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ ว่า ไคลน์ใช้ประโยชน์จากตัวตนอื่นที่มีระดับสูงกว่าร่างหลัก
ส่วนวัสดุที่ใช้สร้างยันต์ ส่วนใหญ่เป็นดีบุกซึ่งหากได้ง่ายและมีราคาถูก
…
ย่านสะพานเบ็คลันด์ ซิลล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนอกสีน้ำตาล เดินเล่นสบายๆ ไปตามถนน
ท่ามกลางแสงจากโคมไฟแก๊สสองฝั่งถนน สีหน้าของเธออาจสงบนิ่ง แต่ภายในใจกำลังตึงเครียด
ฝ่ามือที่กำลังล้วงกระเป๋า ข้างหนึ่งจับด้ามมีดเหมันต์ผ่านช่องลับ อีกข้างหนึ่งถือยันต์ที่ทำจากดีบุก
สิ่งนี้คือ ‘ยันต์อัญเชิญ’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์มอบให้
เดินไปตามทาง เลี้ยวผ่านถนนหลายเส้น ซิลไม่ถูกซุ่มโจมตีจากคนแปลกหน้า ค่ำคืนยังคงเงียบสงัด
ในตอนแรก เธอกังวลว่าฝ่ายกษัตริย์จะจับกุมตนทันทีผ่านองค์กรอย่าง MI9 จากนั้นนำตัวกลับไปสอบปากคำ สำหรับกรณีนี้ การอัญเชิญมิสเตอร์เวิร์ลจะทำให้ชายหนุ่มตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนและเต็มไปด้วยอันตราย เพราะนั่นเทียบเท่ากับการเป็นศัตรูของ ‘ทางการ’ แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก เธอพบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะนั่นจะทำให้พวกมันน่าสงสัยยิ่งกว่าเก่า กลายเป็นเป้าสนใจของสามศาสนจักรใหญ่ ดังนั้น คนที่ถูกส่งมาตรวจสอบเธอย่อมไม่ใช่บุคคลสำคัญของฝ่ายกษัตริย์ใน MI9
การสอบสวนจะต้องเป็นความลับ อาจไม่ใช่คนจากกองทัพ… อา… พวกมันยังคงสะกดรอยตาม กลัวว่าเราจะเป็นเพียงเหยื่อล่อ? มิสเตอร์เวิร์ลกล่าวไว้ว่า ไม่จำเป็นอย่ารบกวน ลองแก้ปัญหาด้วยตัวเองดูก่อน… ซิลมองไปรอบตัวอีกครั้ง ยังไม่กล้าวางใจ และไม่กล้าตรงดิ่งกลับที่พัก แต่อ้อมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบ้านเช่าในย่านรอบนอกเขตตะวันออก
ว่ากันตามตรง เธอไม่ต้องการให้ฟอร์สมาเกี่ยวข้องสักเท่าไร แต่พวกเธอสองคนคือผู้ที่สะกดรอยตามไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเมื่อคืนนั้น ย่อมต้องแปลว่า ฟอร์สถูกเหมารวมอยู่ในรายการสอบสวนด้วย
จริงอยู่ ขอเพียงฟอร์สซ่อนตัวแค่ในเขตตะวันออก ไม่เตร็ดเตร่นอกบ้านบ่อยนัก คนของ MI9 คงหาเธอไม่พบ แต่นั่นจะนำไปสู่การสืบสวนขยายผล พิจารณาจากประสบการณ์ของซิล ไม่ว่าจะญาติ เพื่อน หรือคู่ครอง ทุกคนจะถูกสอบสวนอย่างเข้มงวด เกิดความวุ่นวายเป็นวงกว้าง และซิลกับฟอร์สแยกกันซ่อนตัว นั่นยิ่งชัดเจนว่าพวกเธอคือเหยื่อล่อ ยากที่ปลาจะมากินเบ็ด
หลังจากได้รับความยินยอมจากฟอร์ส ในที่สุดซิลก็เลือกจะนำตัวเองไปเสี่ยงอันตราย
เปิดประตูเข้าไปในบ้าน ขณะซิลถอดหมวกออก เธอเห็นฟอร์สวางนิตยสารลงและยืนขึ้น สางผมตัวเองพร้อมกับถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ถูกสะกดรอยใช่ไหม?”
นี่คือรหัสลับที่ทั้งสองตกลงกันล่วงหน้า ภายนอกอาจฟังดูเป็นการถามเรื่องถูกสะกดรอย แต่ความนัยที่แท้จริงคือการถามว่า ถูกสอบสวนมาหรือไม่
“ไม่” ซิลส่ายหน้าขึงขัง
ฟอร์สไม่สานต่อหัวข้อเดิม เพียงบ่นว่าแถวนี้หาชาดีๆ ยากมาก รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องถ่อไปซื้อไกลๆ จึงจะพบสินค้าคุณภาพดี
บรรยากาศอันอบอุ่นและสุขสงบดำเนินไปจนกลางดึก ทั้งสองเข้าไปในห้องนอน และทิ้งตัวลงบนเตียงสองชั้น
หลังจากเทียนดับ ซิลเตรียมจะกล่าวบางสิ่ง แต่ทันใดนั้น แสงอันศักดิ์สิทธิ์และสว่างจ้าพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
แสงดังกล่าวควบแน่นกลายเป็นร่างหนึ่งซึ่งมีปีกไฟสีแดงสิบสองคู่งอกเงยจากแผ่นหลัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ