ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ นิยาย บท 1064

พวกนอกรีตที่นับถือรัตติกาล… ทันทีที่ได้ยินคำพูดสโนวมัน บุคคลทั้งสามต่างพากันกระอักกระอ่วน

ทั้งไคลน์ ออเดรย์ และเลียวนาร์ดล้วนมีสายสัมพันธ์บางอย่างกับเทพธิดารัตติกาล คนหนึ่งอาจเป็นเพียงสาวกทั่วไป แต่อีกสองคนนั้นไม่ใช่พวกนอกรีตธรรมดา คนหนึ่งเป็นถึงสมาชิกระดับค่อนข้างสูงของลัทธิ ส่วนอีกคนยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเป็นถึงข้ารับใช้ของ ‘เทพธิดามาร’ โดยตรง

“แฮ่ม… ดูเหมือนว่าโบสถ์รัตติกาลจะมีตัวตนก่อนที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์ ร่องรอยของพวกเราเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์มหาภัยพิบัติเสียอีก เพียงแต่เป็นในรูปแบบขององค์กรลับ” ไคลน์กระแอมในลำคอพลางวิเคราะห์เบื้องต้น เป็นการทำลายบรรยากาศที่กระอักกระอ่วน

ออเดรย์เม้มปากและพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มชี้นำความฝันของสโนวมันต่อ พยายามทำให้อีกฝ่ายเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมของราชาเทวทูตจากจิตใต้สำนึก

แต่น่าเสียดายที่สโนวมันเป็นเพียงนักบวชลำดับ 5 ถ้าอยู่ในสมัยใหม่อาจได้เป็นสมาชิกในระดับค่อนข้างสูงซึ่งเข้าถึงข้อมูลสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีโอกาสได้พบกับคนใหญ่คนโต ทว่าหากเป็นยุคสมัยก่อนมหาภัยพิบัติ ลำดับ 5 ไม่ได้รับสิทธิ์พิเศษมากมายขนาดนั้น แม้แต่กระทั่งจะได้เข้าสู่อาณาจักรแห่งเทพ จึงมีความรู้เกี่ยวกับเทพสุริยันบรรพกาลและราชาเทวทูตเพียงหางอึ่ง อย่างมากก็เป็นสิ่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ของศาสนา

อย่างไรก็ตาม ไคลน์พอจะจับประเด็นบางอย่างได้จากคำอธิบายยืดยาวของสโนวมัน:

มีร่องรอยของยักษ์ที่ยังเหลือรอดบนเทือกเขาทางทิศเหนือ

ปัจจุบันเทือกเขาดังกล่าวมีชื่อว่าอันทาร์เอส ตั้งอยู่ในจักรวรรดิฟุซัค และนั่นเชื่อมต่อกับเรื่องที่ชาวฟุซัคมักอ้างว่าพวกตนคือลูกหลานของคนยักษ์ รวมถึงเรื่องที่เทพสงครามเป็นคนยักษ์

เมื่อพบว่าไม่มีความเชื่อมโยงกับราชาเทวทูตอีกต่อไป ออเดรย์เปลี่ยนไปชักนำความฝันของสโนวมันให้แสดงในสิ่งที่มีอิทธิพลกับมันที่สุด

วิหารอันโอ่โถงที่พวกมันกำลังยืนพลันสั่นสะเทือนและค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นฉากอื่นอย่างเงียบงัน

เพียงสองสามวินาที ขนาดของวิหารหดเล็กลงและด้านนอกกลายเป็นจัตุรัสที่เพิ่งสร้างใหม่

สโนวมันคุกเข่าลงบนไม้กางเขนและเทวรูปโดยที่ร่างกายกำลังอาบแสงแดดบริสุทธิ์

ร่างอันพร่ามัวของนักบวชที่แต่งกายเรียบง่ายคนหนึ่งปรากฏขึ้นด้านข้าง อีกฝ่ายกล่าวเสียงดังแต่เคร่งขรึม

“เจ้าต้องการจะเดินบนเส้นทางของนักบวช ตัดขาดจากความรัก และห่างไกลจากความหลงระเริงจริงหรือ? หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะปราศจากอำนาจทั้งปวง ชั่วชีวิตจะเหลือเพียงการฝึกฝนและขัดเกลาจิตใจ นั่นคือวิธีเดียวที่จะทำให้เจ้าได้เข้าใกล้พระองค์และได้ก้าวเข้าไปยังสรวงสวรรค์เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม”

สโนวมันจูบพื้นอย่างเปี่ยมศรัทธาและกล่าว

“ข้าเลือกแล้วที่จะเดินไปบนเส้นทางของนักบวช ละทิ้งความรักและนำพาตัวเองออกจากความหลงระเริง ข้าจะไม่ปรารถนาในพลัง ทั้งชีวิตจะมีเพียงการฝึกฝนและขัดเกลาจิตใจเพื่อรับใช้พระองค์… เป็นเช่นนี้จนชั่วนิรันดร์!”

“เป็นเช่นนี้จนชั่วนิรันดร์!”

ยิ่งสโนวมันสาธยาย สีหน้าของมันก็ยิ่งเปี่ยมล้นความศรัทธา มีการทวนซ้ำคำสาบานอยู่หลายหน

“…นี่คือสิ่งที่เขาประทับใจมากที่สุดและมีอิทธิพลต่อเขามากที่สุด” ออเดรย์กล่าวพลางหันมาจ้องเดอะเวิร์ลและเดอะสตาร์

เมื่อนึกทบทวนถึงการแสดงออกและท่าทีของสโนวมัน รวมทั้งเรื่องที่ไม่เคยยอมปล่อยวางความศรัทธาแม้จะติดอยู่ในโลกความฝัน ไคลน์พยักหน้าอ่อนโยนพร้อมกับถอนหายใจ

“เขาเป็นนักบวชตัวจริง”

ออเดรย์ถอนสายตากลับและชี้นำให้สโนวมันเปิดเผยในสิ่งที่เป็นความลับและสำคัญกว่าเดิม ผ่านไปสักพักก็หันมาพูดกับเดอะเวิร์ลและเดอะสตาร์

“ไม่น่าจะเหลืออะไรแล้ว”

ไคลน์กล่าวโดยยังคงมองไปทางสโนวมัน

“ไปจุดต่อไปกันเถอะ”

ภายในบ้านหลังหนึ่งของเมืองเปโซต์

โมเบธเจ้าของผมสีป่านและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากบางเฉียบ กำลังอยู่ในชุดนอนที่หรูหราฟูฟ่องและนอนแผ่ไปบนเตียงที่ฝั่งหนึ่งสูงฝั่งหนึ่งต่ำ สายตาแหงนมองเพดานพลางพึมพำกับตัวเอง:

“ฤดูหนาวรอบนี้อากาศเย็นกว่าครั้งไหนๆ เลวร้ายถึงขั้นหิมะตก… ถึงจะเกือบเที่ยงแล้ว แต่เราก็ยังไม่อยากจะตื่น… เซียธาส ผมไม่ถือสาที่เอลฟ์อย่างคุณจะชื่นชอบการนอนหลับ แต่ทำไมต้องเอามือเท้ามาพาดบนตัวผมด้วย… คิดถึงชีวิตวัยโสดชะมัด สามารถกลิ้งทุกมุมของเตียงนอนได้อย่างอิสระไม่เหมือนกับตอนนี้… เฮ้อ…”

บนเตียงดังกล่าว ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาสกำลังนอนหลับตะแคงอย่างสบายกาย ไม่เพียงเธอจะนอนกินที่ไปกว่าครึ่งของเตียง แต่จุดที่นอนยังไม่ใช่ฝั่งของตัวเอง เหลือที่ว่างด้านหลังไว้อีกเพียบ แถมยังนำมือเท้าไปกอดก่ายบนตัวโมเบธที่อยู่อีกฝั่งจนเกือบตกเตียง

หลังจากดึงผ้าห่มขึ้นจากจุดที่โดนทับ โมเบธถอนหายใจพลางหลับตาและเตรียมนอนอีกครั้ง

เพียงไม่นานมันก็หลับไปจริงๆ

ภายในความฝัน มันนั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์พลางจิบเหล้าสลับกับดื่มเบียร์ ตัดสินใจหนักแน่นว่าจะไม่กลับบ้านจนกว่าเซียธาสจะมาอ้อนวอน

“นี่คือขุนนางจากยุคสมัยที่สี่?” ณ ทางเข้าร้านเหล้า เลียวนาร์ดชำเลืองไคลน์และถาม

ไคลน์ตอบ

“ใช่”

หืม… สำเนียงการพูดของมิสเตอร์สตาร์ดูเกร็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด… ดูเหมือนว่าเขาจะให้ความสนใจกับขุนนางจากยุคสมัยที่สี่เป็นพิเศษ… จากคำบอกเล่าของมิสเตอร์เวิร์ล มิสเตอร์สตาร์รู้จักกับคนที่อาจเคยเห็นศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง… วัตถุชิ้นนั้นเป็นถึงสิ่งของสำคัญทางประวัติศาสตร์… แม้ว่าในยุคสมัยที่ห้าก็มีโอกาสเล็กน้อยที่จะได้เห็น แต่หากเป็นคนใหญ่คนโตจากยุคสมัยที่สี่ย่อมมีโอกาสเผชิญเหตุการณ์ดังกล่าวได้มากกว่า… แปลว่ามิสเตอร์สตาร์รู้จักกับชนชั้นสูงสักคนจากยุคสมัยที่สี่? ออเดรย์จับประเด็นจากทักษะด้านการเฝ้ามองและตีความ

ด้วยปัจจัยข้างต้น เธอสามารถสรุปออกมาเป็นผลลัพธ์

มิสเตอร์สตาร์จะอาสาเป็นคนชี้นำความฝันในคราวนี้

“อย่างที่คิด ชาวยุคสมัยที่สี่นิยมการแต่งตัวแบบไม่สมมาตร และนั่นทำให้ผมอึดอัดพอสมควร” เลียวนาร์ดล้อเลียนเล็กน้อยก่อนจะหันไปกล่าวกับเดอะเวิร์ลและจัสติส “คราวนี้ผมขอลงมือ”

“ตกลงค่ะ” ออเดรย์รีบขานตอบด้วยรอยยิ้ม

นี่คือสิ่งที่ไคลน์อยากเห็นอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องปฏิเสธ

“ไม่มีปัญหา”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ