เราอยากได้สมบัติปิดผนึกระดับนักบุญชิ้นใด? เดอร์ริค·เบเกอร์หาคำตอบให้ตัวเองตามความเคยชิน
เนื่องจากเส้นทางสุริยันสามารถรับมือสัตว์ประหลาดในความมืดได้ค่อนข้างดี แถมมันยังมีขวาน ‘เทพสายฟ้าคำราม’ ซึ่งโดดเด่นในด้านพลังทำลาย สมบัติปิดผนึกที่เดอร์ริคต้องการจึงไม่ใช่ด้านสนับสนุนหรือโจมตี และเมื่อนึกถึงเรื่องที่ต้องเจ็บตัวระหว่างการหา ‘เพื่อนใหม่’ เดอร์ริคตัดสินใจได้ว่าตนปรารถนาสมบัติปิดผนึกที่โดดเด่นด้านพลังป้องกัน
เมื่อความคิดดังกล่าวแล่นผ่าน เดอร์ริคเพิ่งได้สติและเข้าใจว่าแก่นแท้ของคำถามไม่เกี่ยวกับตน หากแต่เป็นสมบัติปิดผนึกระดับนักบุญที่จะนำไปแลกกับไม้กางเขนเจิดจรัสของมิสเตอร์ฟูล
มันลังเลสักพักก่อนจะถามตรงๆ
“ท่านเจ้าเมืองมีคำแนะนำอย่างไร?”
โคลินชำเลืองและเดินออกจากตำแหน่ง ขยับเข้าใกล้หน้าต่างพลางหันกลับมามอง
“มีสมบัติปิดผนึกสี่ชิ้นที่ค่อนข้างสอดคล้องกับคุณ… ชิ้นแรกชื่อว่า ‘ดาบแสงเงิน’ เป็นสิ่งที่หลงเหลือจากอาวุโสคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตเมื่อหนึ่งพันสามร้อยปีก่อน… ผู้ที่ถือดาบเล่มนี้จะกลบจิตสังหารได้อย่างมิดชิด สามารถแทรกแซงพลังทำนายและคำพยากรณ์ได้ในระดับสูง ได้รับพละกำลังเหนือจินตนาการและพลังแห่งแสงรุ่งอรุณสำหรับต่อกรกับสิ่งชั่วร้ายรอบๆ ตัว… ดาบเล่มนี้สามารถสร้างพายุแห่งแสงที่เปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้าง รวมถึงการสร้างบาเรียล่องหนที่ทนทานขึ้นรอบๆ ตัวผู้ถือ และหากนำไปปักดินจะช่วยเพิ่มพลังป้องกันจนยากจะถูกโค่นล้ม… สุดปลายด้ามเป็นกะโหลกที่มีหนึ่งปากและหนึ่งตา มีสัญญาณชีพ หากป้อนสมุนไพร น้ำมันสกัด หรือยาเข้าไปในปากกะโหลก ผู้ถือจะได้รับคุณสมบัติที่แตกต่างกันเช่นฟ้าผ่า แช่แข็ง ชำระล้าง เผาไหม้ เน่าเปื่อย และปัดเป่า… เงื่อนไขในการใช้งานดาบค่อนข้างยุ่งยากและเข้มงวด หากสูงไม่ถึง 1.8 เมตรก็จะไม่มีวันยกขึ้น หากสูงต่ำกว่าสองเมตรจะมิอาจใช้พลังของมันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนั้นกะโหลกที่ปลายด้ามยังพูดเก่ง มักชวนเจ้าของดาบพูดคุยตลอดเวลา และถ้าไม่มีการตอบสนอง มันก็จะไม่ให้ความร่วมมือในช่วงเวลาสำคัญ ในกรณีที่เลวร้ายก็อาจทำร้ายเจ้าของ แต่ถ้าเจ้าของดาบยอมคุยกับกะโหลก มีโอกาสสูงมากที่จะเสียสติและบ้าคลั่ง”
นี่คือสิ่งที่เราต้องการ สมบัติปิดผนึกซึ่งเด่นในด้านพลังป้องกัน… เดอร์ริคพูดกับตัวเองโดยไม่ขัดจังหวะการบรรยายของเข้าเมือง เพียงรอฟังข้อมูลของสมบัติชิ้นต่อไป
“ชิ้นที่สองก็คือ ‘หน้ากากสนธยา’ หลงเหลือมาจากเจ้าเมืองคนแรก เป็นหน้ากากที่ทำจากกะโหลกมนุษย์ สามารถเก็บซ่อนจิตสังหารและความพยาบาท ปกปิดความคิดและแนวโน้มทางพฤติกรรม เปลี่ยนให้ผู้สวมเหมือนกับคนตายที่ปราศจากสตินึกคิด… เพียงสวมหน้ากากลงไปก็จะทำให้ได้พลังที่ทัดเทียมคนยักษ์ตัวจริง รวมถึงพลังในการปกครองอันเดด… สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มองเข้าไปในดวงตาผู้สวมจะเสียชีวิตคาที่ ต่อให้เป็นครึ่งเทพก็ต้องบาดเจ็บหนัก และแม้จะไม่ได้มองเข้าไปในดวงตา แต่ถ้าถูกจ้องด้วยหน้ากากนี้ เป้าหมายจะค่อยๆ เหี่ยวเฉาราวกับขาข้างหนึ่งก้าวเข้าไปในแม่น้ำแห่งความตาย… ผู้สวมมีพลังในการสร้างพายุสนธยาอันน่าสะพรึงกลัว สิ่งใดที่ถูกแสงสนธยาปนเปื้อน ชะตากรรมคือการเน่าเปื่อย เหี่ยวแห้ง หรือเฉาตายโดยปราศจากชีวิตชีวา… การโจมตีส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่การชำระล้างจะไม่ได้ผลกับผู้สวมหน้ากากสนธยา เพราะไม่มีใครสามารถฆ่าคนที่ตายไปแล้วได้… หน้าสนธยาอันนี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก แต่ก็อันตรายไม่แพ้กัน เพราะถึงจะวางไว้เฉยๆ โดยที่ไม่แตะต้อง คนรอบข้างก็จะค่อยๆ เสียสติและตายไปอย่างกะทันหัน ดังนั้นจึงต้องถูกผนึกอย่างเหมาะสม… ไม่ว่าจะเป็นใคร หากสวมหน้ากากนี้เข้าไปก็จะได้ยินเสียงเพรียกที่ฟังดูคล้ายกับมาจากส่วนลึกของโลกแห่งความตาย เกิดความเสียหายทางจิตใจที่อาจทำให้กลายเป็นบ้า… ขณะเดียวกันถ้าสวมหน้ากากอันนี้นานเกินกว่าห้านาที ผู้สวมจะกลายเป็นทาสมันอย่างถาวร”
สมบัติปิดผนึกที่แทบจะไม่มีประโยชน์ ชะตากรรมเดียวของมันคือการถูกปิดผนึก… อา… คงมีเพียงตัวตนที่พิเศษอย่างมิสเตอร์ฟูลจึงจะสามารถมองข้ามผลข้างเคียงด้านลบของมัน… เดอร์ริคอ้าปากเล็กน้อย แต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา
โคลิน·อีเลียดนึกทบทวนสักพักก่อนจะพูดต่อ
“ชิ้นที่สามมีชื่อว่า ‘ไม้เท้าแห่งชีวิต’ สามารถควบคุมสัตว์วิเศษที่มีสติปัญญาต่ำและลดความบ้าคลั่งของพวกมันได้ในระยะเวลาสั้นๆ … นอกจากนั้นยังสามารถผสาน ‘ดวงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์’ เข้ากับวัสดุประเภทต่างๆ ด้วยพลัง ‘เสริมแกร่งชีวิต’ … พลังประเภทนี้สามารถพลิกแพลงไปใช้สร้างมนุษย์ที่มีอายุขัยสั้น สร้างตุ๊กตาสำหรับทำสงคราม รวมถึงการสร้างโกเลมหิน โกเลมดิน และโกเลมเหล็ก… สิ่งมีชีวิตชนิดใดที่ถูกไม้เท้าอันนี้ฟาดใส่ โอกาสในการเสียสติและคลุ้มคลั่งจะเพิ่มขึ้น รวมถึงทำให้ร่างกายมีโอกาสกลายพันธุ์ ตัวอย่างเช่นมีผลแตงโม เห็ด หรือข้าวสาลีงอกออกมา… แต่แน่นอน อาหารเหล่านั้นกินไม่ได้ ด้านในเต็มไปด้วยมลพิษ… สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ถูกสัมผัสด้วยหัวไม้เท้า ไม่ว่าจะบาดเจ็บสาหัสเพียงใดก็สามารถหายขาดได้ทันที ยกเว้นในกรณีที่คลุ้มคลั่งไปแล้ว… ไม้เท้าอันนี้จะทำให้พื้นที่โดยรอบเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ล้วนเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์พูนสุข สืบพันธุ์ได้รวดเร็ว… แต่น่าเสียดายที่ไม่มีผลกับดินแดนต้องสาปของเรา… ผู้ถือไม้เท้าแห่งชีวิตมีโอกาสสูงที่จะร่างกายจะเกิดการกลายพันธุ์ ยิ่งถือนานก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง การกลายพันธุ์จะส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ถูกทดแทนด้วยพืชพรรณนานาชนิด”
ฟังดูเลวร้ายชะมัด… เดอร์ริคเกิดความกลัวอย่างอธิบายไม่ได้ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถาม
“แล้วชิ้นที่สี่ล่ะครับ?”
“เป็นสิ่งที่หลงเหลือจากปีศาจที่ผมล่า… ผมตั้งชื่อมันว่า ‘ขลุ่ยแห่งการเสื่อมถอย’ … รูปลักษณ์เป็นเพียงขลุ่ยเงินธรรมดา แต่เมื่อมีคนเป่ามัน สิ่งมีชีวิตในบริเวณใกล้เคียงจะเห็นภาพหลอนโดยไม่มีข้อยกเว้น และนั่นทำให้ความโกรธ ความเศร้า ความเจ็บปวด ความโลภ ความโอหัง ความทระนงตน และอารมณ์อื่นๆ จะถูกขยายในพริบตา เกิดเป็นอาการจิตระเบิดหรือสิ้นสติในพริบตา มีโอกาสคลุ้มคลั่งคาที่… ยกเว้นผู้ถือ สิ่งมีชีวิตในบริเวณใกล้เคียงจะสูญเสียความสามารถในการคิดอย่างรวดเร็ว ง่ายต่อการก่อความผิดพลาด… ขณะเดียวกัน ผู้ถือจะมีลางสังหรณ์เฉียบคมเป็นพิเศษ ในบางก็สามารถมองเห็นอันตรายล่วงหน้าได้ถึงสองวัน… ไม่ว่าขลุ่ยแห่งการเสื่อมถอยเลานี้จะอยู่ที่ใด จิตใจของผู้คนที่นั่นจะค่อยๆ เสื่อมถอยลง ความกระหายกลายเป็นเรื่องปรกติ ศีลและศรัทธาถูกละทิ้ง และยังทำให้ผู้ถือกลายเป็นคนเย็นชาชนิดที่แก้ไขกลับเป็นปรกติไม่ได้ ยิ่งถือนานเพียงใดก็ยิ่งอยู่ในสภาพเลวร้ายมากเท่านั้น สุดท้ายจะส่งผลกระทบต่อการสวมบทบาทในเส้นทางตัวเอง จนกระทั่งลงเอยด้วยการคลุ้มคลั่ง”
อธิบายสมบัติปิดผนึกทั้งสี่ชิ้นจบ ดวงตาสีฟ้าอ่อนของโคลินซึ่งเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์และเวลา จ้องหน้าเดอร์ริคและพูด
“คุณคิดยังไงบ้าง”
“ผมขอเวลาทบทวนดูก่อนครับ” เดอร์ริคตอบอย่างชำนาญ
“ทำถูกแล้ว เพราะการเลือกครั้งนี้สำคัญมากสำหรับคุณ ห้ามบุ่มบ่ามตัดสินใจ” โคลินพยักหน้ารับ “ในอีกสามวันข้างหน้า เราจะออกเดินทางไปยังค่ายหมู่บ้านยามบ่าย ผมต้องการคำตอบก่อนออกเดินทาง แล้วอย่าลืมเผื่อเวลาสำหรับทำความคุ้นเคยกับสมบัติวิเศษชิ้นใหม่”
“ครับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคคำนับขึงขังและเดินออกจากห้อง
มันไม่รีบตรงกลับบ้านเพื่อสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล แต่แวะลานฝึกเพื่อสร้างความชำนาญด้านเวทมนตร์สุริยันที่หลากหลาย
นี่คืออุปนิสัยที่ฝังรากลึกเข้าไปในสายเลือดชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ทุกคน หากปราศจากวินัยที่ยอดเยี่ยม ก็คงยากจะอาศัยอยู่ในดินแดนทุรกันดารและเต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้
…
ย่านสะพานเบ็คลันด์ ในซอยมืด
ซิลได้พบกับชายสวมหน้ากากทองคำอีกครั้ง หรือที่ควรเรียกว่าเจ้าหน้าที่ MI9 ผู้ปรารถนาดี
“สูตรโอสถผู้พิพากษาของคุณอาจต้องรอไปอีกสักพัก” ชายสวมหน้ากากทองคำกล่าว
แม้การสืบสวนในตัวซิลจะไม่คืบหน้า แต่ก็ยังไม่จบลง
ซิลเม้มริมฝีปากพลางพยักหน้า คล้ายกับกำลังตัดสินใจบางสิ่งที่ยากลำบาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ