แม้ทะเลโซเนียจะไม่ค่อยมีหมอกหนาเหมือนกับทะเลหมอก แต่ถ้าเป็นทางแถบเหนือ ในฤดูหนาวและใบไม้ร่วงก็มักมีหมองบางๆ ให้เห็น
โทสะสีครามของอัลเจอร์·วิลสันกำลังแล่นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีหมอกจางๆ ปกคลุม ไต่ไปตามขอบเกาะโซเนียเพื่อมุ่งหน้ากลับชายฝั่งโลเอ็น
มันใช้เวลาอยู่ในแถบเหนือของทะเลโซเนียค่อนข้างนานแล้ว จึงถึงคราวต้องกลับไปรายงานโบสถ์ตามกำหนดการ
ท่ามกลางหมอกจาง เรือผีสิงแล่นตรงไปอย่างต่อเนื่อง บ้างโผล่บ้างหาย ราวกับความฝันไม่หลงทิ้งร่องรอย
อัลเจอร์ที่ถูกห่อหุ้มด้วยสายลมกำลังลอยตัวภายในห้องกัปตันและชื่นชมโลกสีขาวด้านนอกหน้าต่าง ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปอย่างไร้ทิศทาง
ทันใดนั้น ดวงตาของมันพลันหดเกร็งพร้อมกับมีแสงสีเงินสว่างขึ้นในรูม่านตา อัลเจอร์มองเห็นเรือใบลำใหญ่กำลังแล่นผ่านหมอกหน้าเบื้องหน้าในระยะไกลด้วยความเงียบเชียบ
และไม่ได้มีแค่ลำเดียว ด้านหลังยังมีเรือแบบเดียวกันแล่นตามมาหนึ่งลำ สองลำ สามลำ จนกระทั่งกลายเป็นกองเรือขนาดใหญ่ในระยะไกล
กองทัพเรือโซเนียของฟุซัค… พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว… กำลังมุ่งหน้าไปไหน? ฝ่าเท้าอัลเจอร์ร่อนลงมาสัมผัสพื้น
มันรีบหันไปมองในอีกทิศทางหนึ่ง เป็นตำแหน่งที่เกาะโซเนียตั้งอยู่
หลังจากแลกเปลี่ยนข้อมูลกับชุมนุมทาโรต์หลายครั้ง อัลเจอร์พบจะทราบว่าสถานการณ์โลกกำลังตึงเครียด สงครามสามารถปะทุขึ้นได้ทุกขณะ มันรีบเชื่อมโยงข้อมูลและผุดสมมติฐานทันที
สำหรับทั้งจักรวรรดิฟุซัคและอาณาจักรโลเอ็น เกาะโซเนียเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาก หากถูกโลเอ็นยึดครองกองทัพเรือตะวันออกของฟุซัคจะถูกขังอยู่ในทะเลเหนือที่หนาวเย็น หมดสิทธิ์แก่งแย่งดินแดนอาณานิคมในทะเลโซเนียทั้งหมด และไม่สามารถเดินทางไปยังไบลัมตะวันออก นอกจากนั้น หากพวกมันประกาศสงครามกับโลเอ็น การส่งกองทัพมารุกรานแผ่นดินใหญ่ของโลเอ็นจะกลายเป็นเรื่องยากมาก เพราะต้องข้ามเทือกเขาอมานด้าหรือไม่ก็แคว้นเลียบทะเล ต้องผ่านแนวป้องกันของหลายแคว้น
แต่ถ้าจักรวรรดิฟุซัคยึดครองเกาะโซเนียสำเร็จ พวกมันสามารถใช้จุดนี้เป็นฐานการโจมตีท่าเรือทั้งหมดของโลเอ็นในภาคเหนือและภาคกลาง หนึ่งในนั้นคือท่าเรือเอ็นมาร์ตและท่าเรือพริสต์ และถ้าผู้บัญชาการสงครามของฟุซัคไม่เกรงกลัวการสูญเสีย พวกมันสามารถรุกคืบจากท่าเรือพริสต์ขึ้นฝั่งมาโจมตีเมืองหลวงอย่างเบ็คลันด์ได้โดยตรง
ที่เป็นเช่นนี้เพราะใน ‘สงครามยี่สิบปี’ จักรวรรดิฟุซัคเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะและยึดครองดินแดนสำคัญทางตอนใต้ของโลเอ็นไป
และใน ‘ศึกตระบัดสัตย์’ อาณาจักรโลเอ็นอาจเป็นฝ่ายได้รับใช้ชนะ แต่ก็ล้มเหลวในการทวงดินแดนซึ่งเป็นเหตุผลหลักของสงคราม เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเพียงครึ่งเดียว
อัลเจอร์จ้องมองฉากตรงหน้าสักพักก่อนจะพึมพำ
“หรือสงครามกำลังจะปะทุ?”
…
กรุงเบ็คลันด์ กองเรือเหาะของฟุซัคแล่นเข้าสู่น่านฟ้าเขตเหนือและรุกล้ำมหานครแห่งนี้สำเร็จ
ในวินาทีที่พวกมันขยับเข้าใกล้ ดูเหมือนว่ามหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์ได้เตรียมการบางอย่างไว้ล่วงหน้า สายลมหวีดร้องเสียงดังพร้อมกับการพุ่งขึ้นไปบนฟ้าของ ‘ลมเฉือน’ สีน้ำเงินเข้มขนาดมหึมา ถล่มใส่เป้าหมายประหนึ่งการระดมยิงด้วยจรวดต่อต้านอากาศยาน
เมื่อเห็นว่าลมเฉือนขนาดยักษ์กำลังจะพุ่งปะทะถุงลมของเรือเหาะ ม่านบาเรียล่องหนพลันปรากฏกาย สกัดกั้นการโจมตีไว้ได้ทั้งหมด
ท่ามกลางการโหมกระหน่ำที่ดุเดือด ‘กำแพง’ ล่องหนสั่นไหวรุนแรง แต่สุดท้ายก็ต้านทานไว้ได้
ขณะเดียวกัน กลไกในจุดติดตั้งปืนใหญ่และปืนกลบนเรือเหาะเริ่มทำงาน ปากกระบอกลอดออกมาจากช่องว่างและเล็งลงไปยังด้านล่าง
บึ้ม! บึ้มบึ้มบึ้ม!
ขณะพายุเฮอร์ริเคนรอบๆ มหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์เริ่มก่อตัว เสียงระเบิดที่ดังสนั่นกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง
ท่ามกลางลมพายุที่เกรี้ยวกราด กองเรือเหาะเปรียบดังเรือใบลำเล็กที่แล่นปะทะเข้ากับคลื่นยักษ์ลูกเท่าภูเขา หมิ่นเหม่จะถูกซัดจนคว่ำ
ทันใดนั้นเอง แสงสีเลือดผสมสนิมพลันสว่างวาบจากเรือเหาะที่บินนำมา แสงดังกล่าวปกคลุมรอบเรือเหาะทุกลำราวกับจะเรียงร้อยเข้าด้วยกัน
เพียงพริบตา กองเรือเหาะของฟุซัคสามารถรักษาสมดุลภายในพายุเฮอร์ริเคน มิได้เป็นเพียงเรือใบท่ามกลางคลื่นยักษ์อีกต่อไป
และพลังเส้นทางนักบวชสีชาดในลำดับสูงเกิดมาเพื่อสงคราม และสงครามคือศาสตร์แห่งการระดมพล!
นี่คืออำนาจของ ‘นักบวชสงคราม’ !
หลังจากป้องกันการโจมตีระลอกแรกไว้ได้ กองเรือเหาะของฟุซัคอาศัยช่องว่างระหว่างระลอก รีบเปิดท้องเรือพร้อมกับทิ้งระเบิดลงไป
และท่ามกลางพายุ ไม่มีใครสามารถคาดเดาจุดตกของระเบิดได้
บึ้ม! บึ้มบึ้ม!
ปากกระบอกปืนใหญ่เองก็เริ่มส่องแสงและแสดงฤทธิ์เดชเพื่อเทิดทูนเกียรติยศของเทพสงคราม
กองเรือเหาะไม่มีเจตนาจะบินไปทั่วกรุงเบ็คลันด์ หลังจากรุกล้ำเขตเหนือได้เล็กน้อย พวกมันบินตรงไปยังเขตตะวันตกทันที เพราะที่นั่นคือศูนย์กลางการเมืองและการบริหารของอาณาจักรโลเอ็น
…
เขตเหนือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเบ็คลันด์
ใบเมเปิ้ลอินทิสกำลังโยนเอนไปตามสายลม นักเรียกที่บ้างสะพายเป้ บ้างถือกระเป๋า เดินสวนกันไปมาภายในมหาวิทยาลัย
ในฐานะสมาชิกของสถาบันอุดมศึกษา ในฐานะนักศึกษารุ่นแรกของมหาวิทยาลัยที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ หนุ่มสาวเหล่านี้ล้วนเปี่ยมไปด้วยความกระฉับกระเฉง หลายคนมองไปถึงอนาคตอันสดใสในวันข้างหน้า จึงนัดรวมตัวกันทุกวันเพื่อทำกิจกรรมจำพวก แบ่งปันแนวคิด ท่องกวี และทำการวิจัยทางเทคโนโลยี ทุกคนเปี่ยมไปด้วยความสุขและความสดใส
เมลิสซ่า·โมเร็ตติเดินสวนกับเด็กไฟแรงเหล่านี้พลางแหงนหน้ามองนาฬิกาแขวนบนอาคารหลัก สองขาเร่งความเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เธอกำลังจะไปช่วยอธิการบดีโมมงต์จัดเตรียมงานเปิดตัวห้องปฏิบัติการเครื่องกล
สิ่งนี้ทำให้เธอมีความสุขอย่างมาก มันคือแหล่งความสุขในทุกๆ วัน เมลิสซ่ารู้สึกว่าชีวิตมหาวิทยาช่างงดงามและเพื่อนร่วมชั้นก็น่ารัก
โดยไม่รู้ตัว เมลิสซ่าหันไปมองหัวรถจักรไอน้ำที่ตั้งอยู่กึ่งกลางจัตุรัสภายในมหาวิทยาลัย ขนาดของมันใหญ่โต ความซับซ้อนของมันคือเสน่ห์ที่น่าหลงใหลของศาสตร์แห่งกลไก
มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยแวะเวียนมาที่นี่และทำการเคาะหรือทุบเบาๆ รวมถึงวิเคราะห์หาหลักการทำงาน แม้ทางมหาวิทยาลัยไม่ได้มีข้อห้ามกำหนดไว้ แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนให้ทำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ