เมื่อเห็นว่าคุณหนูของตนสนใจตำนานภูตผี แอนนี่ชำเลืองสาวใช้คนอื่นที่กำลังเตรียมน้ำอุ่น หวี และสิ่งของอื่นๆ ก่อนจะพูดต่อ
“แพทย์และพยาบาลต้องการเชิญบิชอปจากวิหารมาทำพิธีมิสซา แต่ผู้ป่วยที่เหลือคัดค้านอย่างหนักเพราะต้องการจะพบภูตผีตนดังกล่าว พวกเขาเรียกมันว่า ‘เทวทูตตัวตลก’ โดยอธิบายว่า หน้าตาอาจน่ากลัวเหมือนกับตัวตลก แต่ความจริงแล้วคือเทวทูตที่ช่วยให้พ้นจากความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน”
“เป็นชื่อที่น่าสนใจ…” ออเดรย์ถอนหายใจพลางยิ้ม
หากเป็นเมื่อก่อน ออเดรย์คงตื่นเต้นมากและพยายามไปโรงพยาบาลด้วย ‘ท่องฝัน’ เพื่อค้นหาความลับของเทวทูตตัวตลก แต่ภาวะสงครามทำให้เธอหดหู่ ไม่มีอารมณ์ที่จะตรวจสอบ เพราะมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าให้สนใจ
อันที่จริง หากไม่ใช่เพราะออเดรย์ได้เห็นการโจมตีทางอากาศและผู้บาดเจ็บด้วยตาตัวเอง เธอคงจะยังรู้สึกว่าเบ็คลันด์เป็นเมืองที่น่าอยู่และสงบสุขในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
นั่นเพราะหลังจากการโจมตีทางอากาศหนแรก กองเรือเหาะของอาณาจักรโลเอ็นได้เข้าสู่สงครามเต็มตัว แถมเมืองชายฝั่งยังยกระดับการป้องกันทางอากาศ ส่งผลให้เบ็คลันด์ไม่ถูกโจมตีอีกเลย ในปัจจุบัน การปะทะระหว่างฟุซัคโลเอ็นส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสามจุดเป็นหลัก หนึ่ง แนวเทือกเขาอมานด้าในแคว้นเหมันต์ สอง เขตอุตสาหกรรมหนักของแคว้นเลียบทะเล และสาม ตามแนวท่าเรือชายฝั่งทะเลโซเนีย สถานการณ์ภาพรวมอยู่ในภาวะ ‘แน่นิ่ง’ ไม่มีใครได้เปรียบเหนือใคร ถึงจะมีผู้บาดเจ็บล้มตาย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกรุงเบ็คลันด์มากนัก มีเพียงราคาสินค้าบางชนิดที่ปรับสูงขึ้นตามหน้าหนังสือพิมพ์ เรียกได้ว่ากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
แต่ออเดรย์ไม่คิดว่าสถานการณ์สงบสุขอย่างที่ตาเห็น บิดากับพี่ชายของเธอยุ่งมาก กลับบ้านดึกบ่อยครั้ง บางวันก็เชิญขุนนาง สมาชิกสภาและคณะนักบวชมาประชุมส่วนตัวที่บ้าน และด้วยความช่วยเหลือจากโบสถ์รัตติกาลกับองค์กรการกุศล ออเดรย์ได้ทราบจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหนักจากศึกแนวหน้าในเขตเทือกเขาอมานด้าและท่าเรือพริสต์ อีกทั้งยังได้เห็นภาพถ่ายของฉากสงคราม ส่งผลให้เธอพยายามระดมทุน พยายามประสานงานกับบริษัทยารายใหญ่และโรงพยาบาล โดยหวังจะช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด
ใครจะไปคิดว่า ไม่เพียงนักผจญภัยเสียสติชื่อดังคนนั้นจะอนุญาตให้นำอาหารส่วนเกินของคฤหาสน์มาบริจาคได้ แต่ยังบริจาคเงินสดส่วนตัวอีกเจ็ดพันปอนด์… ออเดรย์ถอนหายใจแผ่วพลางปล่อยให้สาวใช้ช่วยแต่งตัว
…
ย่านทิศใต้ของสะพาน ถนนกุหลาบ
เอ็มลิน·ไวท์บริจาคธนบัตรสิบปอนด์ให้องค์กรระดมทุนเพื่อการกุศล จากนั้นก็กดหมวกทรงสูง เดินขึ้นบันได และเข้าไปในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว
ปัจจุบันไม่มีสาวกเข้ามาในวิหาร แต่หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ ลูกครึ่งคนยักษ์ ยังคงนั่งอยู่แถวหน้าสุดพร้อมกับสวดวิงวอนอย่างเคร่งขรึม
เอ็มลินไม่รีบร้อนเปลี่ยนชุดนักบวช เพียงนั่งลงข้างนักบวชยักษ์และทำท่าคล้ายกับต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่หลังจากขยับปาก มันเปลี่ยนใจและทำเพียงพ่นลมหายใจ
“คงเป็นเพราะคุณมีรูปลักษณ์เหมือนกับชาวฟุซัค สาวกจึงไม่กล้าเข้ามา” เอ็มลินจ้องแท่นบูชาและกล่าวโดยไม่หันไปมอง
บิชอปยูทรอฟสกี้วางมือลง ลืมตาขึ้น
“ผมเข้าใจพวกเขา”
“ความเข้าใจจะไปมีประโยชน์อะไร? ถ้าสงครามทวีความรุนแรงและมีทหารเสียชีวิตมากขึ้น บางที สาวกเหล่านั้นอาจบุกเข้ามาในวิหารเพื่อวางเพลิงและแขวนคอคุณ” เอ็มลินยังคงจ้องตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิต
หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ส่ายหน้าเล็กน้อย
“พวกเขาไม่ทำแน่ ทุกคนศรัทธาในพระแม่อย่างจริงใจ พวกเขาไม่มีทางเผาวิหาร อย่างมากที่สุดก็แค่ขับไล่ผม บางที อาจมีคนยอมเข้าใจถ้าผมอธิบายว่าตัวเองสละสัญชาติฟุซัคไปแล้ว”
เอ็มลินส่ายหน้าและกล่าวโดยไม่ขยับดวงตา
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเฟเนพ็อตเข้าร่วมสงครามและเปิดฉากโจมตีอ่าวเดซีย์? คุณจะทำยังไงถ้าโบสถ์พระแม่ธรณีเรียกร้องให้นักบวชทุกคนเป็นศัตรูกับโลเอ็น? …คุณจะฟังคำสั่งของศาสนจักรและทรยศสาวกที่นี่ หรือแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยังคงเทศนาเกี่ยวกับคุณค่าของชีวิตและการเก็บเกี่ยวเหมือนเดิม? หรือว่าคุณจะเปลี่ยนให้เหล่าสาวกเป็นศัตรูกับเพื่อนร่วมชาติ เป็นศัตรูกับแผ่นดินแม่ และใช้การหลั่งเลือดเป็นข้อพิสูจน์ในศรัทธาต่อพระแม่?”
บิชอปยูทรอฟสกี้จ้องไปยังตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตและไม่กล่าวคำใดเป็นเวลานาน
เอ็มลินเองก็ไม่ถามต่อ สงบนิ่งสำรวมเหมือนกับนักบวช
วิหารฤดูเก็บเกี่ยวเงียบสนิทโดยสิ้นเชิง
…
บนเกาะอาณานิคม อัลเจอร์·วิลสันซึ่งไม่มีโอกาสกลับไปที่เกาะปาซู รวมถึงไม่ได้ออกจากโทสะสีครามเนื่องจากยึดถือความปลอดภัยเป็นหลัก ทำเพียงส่งลูกเรือขึ้นฝั่งไปสืบหาข้อมูล
“กัปตัน ยังไม่มีข่าวระดมพลพวกเรา” ลูกเรือที่มีกลิ่นเหล้าหึ่ง รายงานผลการสืบสวนตลอดทั้งวันให้อัลเจอร์
อัลเจอร์โบกมือส่งสัญญาณบอกให้ลูกเรือออกไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วพลางพึมพำ
ดูเหมือนว่าทางศาสนจักรจะไม่สนใจสงครามสักเท่าไร…
เท่าที่อัลเจอร์ทราบ สงครามในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะลุกลามเป็นวงกว้าง ในฐานะเจ้าบ้านซึ่งถูกรุกราน โบสถ์วายุสลาตันควรระดมพลอย่างเร่งด่วนเพื่อตอบโต้ศัตรู ไม่เว้นแม้แต่การเรียกรวม ‘กัปตัน’ ที่กระจายตัวอยู่ตามท้องทะเลเพื่อแจกจ่ายภารกิจ แต่ปัจจุบัน เกาะปาซูกลับยังไม่มีคำสั่งใดออกมา
นี่ไม่ได้หมายความว่าโบสถ์วายุสลาตันทำตัวหย่อนยาน กองทัพของศาสนจักรที่กระจายตัวบนแผ่นดินโลเอ็นกำลังทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ส่วนหนึ่งเป็นกำลังสำคัญในการวางระบบป้องกันภัยทางอากาศตามหัวเมืองใหญ่และชายฝั่ง นอกจากนั้น ครึ่งเทพจำนวนมากของศาสนจักรยังถูกส่งออกไปรบในแนวหน้าเพื่อต้านทานการรุกรานของฟุซัค เพียงแต่อัลเจอร์รู้สึกว่าเบื้องบนยังไม่ได้ ‘เอาจริง’ มากนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ