ทะเลโซเนีย เกาะปาซู
ในที่สุด โทสะสีครามซึ่งถูกเรียกให้เข้าพบ แล่นมาถึงสำนักงานใหญ่ของโบสถ์วายุสลาตันและจอดเทียบท่า
อัลเจอร์ถอดผ้าที่พันรอบศีรษะออก กระโดดลงจากกราบเรือ ลงจอดบนท่าเรือโดยอาศัยสายลม
โอสถ ‘ข้ารับใช้วายุ’ ขวดใหม่ที่ดื่มเข้าไปถูกย่อยหมดนานแล้ว แต่ที่อัลเจอร์ยังทำแบบนี้เพราะต้องการกลมกลืนไปกับกัปตันเรือคนอื่นของศาสนจักร
ประสบการณ์ตลอดหลายปีได้สอนอัลเจอร์ว่า ไม่ควรทำตัวโดดเด่นเกินหน้าเกินตาคนรอบข้าง โดยเฉพาะเมื่อตัวเองซ่อนความลับไว้มากมาย!
“ฮะฮะ! อัลเจอร์! ระงับความใจร้อนของนายหน่อย!” ชายที่รออยู่บนท่าเรือทักทายด้วยรอยยิ้ม
ชายคนนี้มีผมสีเหลืองอ่อน สวมเสื้อคลุมปักลวดลายสายฟ้า มันคืออดีตคู่หูของอัลเจอร์ ในภายหลัง คนหนึ่งเลือกเป็นกัปตันเรือผีสิงและผจญภัยไปในทะเล ส่วนอีกคนเลือกเป็นนักบวช
อัลเจอร์ยิ้ม ยกกำปั้นขวากระแทกอกซ้าย
“ขอพายุจงสถิตกับคุณ”
“ขอพายุจงสถิตกับคุณ” ชายผมเหลืองขานตอบด้วยท่าทางแบบเดียวกันพลางฉีกยิ้ม
มันหรี่เสียงลง:
“นายชำนาญโอสถข้ารับใช้วายุแล้ว?”
“ใช่…ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร แค่รักษาสถานะลอยตัวตลอดเวลา ใช้ลมในการเคลื่อนที่ไปยังจุดต่าง ๆ เป็นครั้งคราวเพื่อให้คุ้นเคยได้เร็ว ฉันส่งโทรเลขไปแจ้งเรื่องนี้ให้เบื้องบนทราบแล้ว” อัลเจอร์ยักคิ้ว เชิงว่าภาคภูมิใจมาก
ชายผมเหลืองเหลียวซ้ายแลขวา กล่าวด้วยระดับเสียงเท่าคราวก่อน
“เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงเรียกนายกลับ…ฉันได้ยินว่าเป็นเพราะสงครามที่ยืดเยื้อ ทางเราจึงขาดแคลนกำลังคน สภาคาร์ดินัลจึงตัดสินใจรวบรวมกลุ่ม ‘ข้ารับใช้วายุ’ มาเลื่อนเป็นลำดับห้าโดยเร็ว นายคือหนึ่งในนั้น…น่าอิจฉาชะมัด ฉันเพิ่งได้เป็นข้ารับใช้วายุ จึงหมดสิทธิ์เข้าร่วม…”
รวบรวมกลุ่ม ‘ข้ารับใช้วายุ’ มาเพื่อเลื่อนลำดับโดยเร็ว…อัลเจอร์·วิลสันไม่ประหลาดใจกับเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะมันทราบดีว่าสงครามครั้งใหญ่กำลังจะเกิด ในหัวมีเพียงคำคำเดียว
เบี้ยที่ใช้แล้วทิ้ง!
อันที่จริง ลำพังผลงานการรายงานข่าวของท่าเรือแบนชี อัลเจอร์ที่เป็นเพียง ‘นักเดินเรือ’ ในช่วงเวลาดังกล่าว สามารถใช้คะแนนผลงานเพื่อเลื่อนลำดับก้าวกระโดดไปจนถึง ‘ผู้ขับขานสมุทร’ ได้ไม่ยาก และไม่เพียงเท่านั้น ในภายหลังมันยังทำงานหนัก สร้างผลงานมากมาย แต่กลับยังติดแหง็กอยู่แค่ลำดับหก ข้ารับใช้วายุเป็นเวลานาน ต้องต่อคิวเพื่อรอประกอบพิธีกรรมเลื่อนเป็นลำดับห้า ผู้ขับขานสมุทร
แต่ในปัจจุบัน โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย มันกลับถูกเรียกตัวมาเข้าคิวเลื่อนลำดับ และในไม่ช้าก็จะกลายเป็นสมาชิกระดับค่อนข้างสูงของศาสนจักร จึงอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม
จริงอยู่ เมื่อสงครามใหญ่ปะทุขึ้น คำสั่งที่คอย ‘กดหัว’ สมาชิกแบบเราจะคลายความเข้มงวด…แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเอาชีวิตให้รอดจากความโหดร้ายของสงคราม หากไม่รอด สิทธิพิเศษที่ได้รับก็ไร้ความหมาย…ท่ามกลางกระแสความคิด อัลเจอร์หันมาถามด้วยความประหลาดใจ
“ไซแอน ที่พูดมาเป็นความจริงหรือ?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน…แต่นั่นคือสิ่งที่ฉันได้ยินมา นายลองไปดูเองเถอะ ถ้ามีโอกาสได้เป็นอาวุโสหรือพระคาร์ดินัล อย่าลืมพวกเราเชียวนะ!” ชายผมสีเหลืองเจ้าของชื่อไซแอน เหยียดแขนออกไปตบบ่าอัลเจอร์
อัลเจอร์เดินตรงไปด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอน”
…
เมืองเงินพิสุทธิ์ หลังจากที่ทีมสำรวจกลับมาเล่าว่า มีทะเลอยู่อีกฟากหนึ่งของวังราชาคนยักษ์ ชาวเมืองทุกคนต่างพากันตื่นเต้น
หลังจากรอคอยสองวัน ในที่สุดเดอร์ริค·เบเกอร์ก็ได้รับแจ้งจากหกสภาอาวุโสว่า สูตรโอสถนักถลุงโลหะโบราณผ่านการอนุมัติแล้ว
กล่าวคือ เหล่าเบื้องบนของเมืองเงินพิสุทธิ์ตกลงที่จะซื้อเห็ดเหล่านั้น
พิธีกรรมเลื่อนลำดับ…ต้องเจียระไนศิลาแห่งชีวิตด้วยตัวเอง…ศิลาแห่งชีวิตคืออะไร? ไม่คำอธิบายเขียนไว้…เดอร์ริคอ่านข้อมูลที่เขียนไว้ในกระดาษ เตรียมประกอบพิธีกรรมโดยไม่คิดมาก
ตามความเห็นของมัน มิสเตอร์ฟูลย่อมทราบว่าศิลาแห่งชีวิตคืออะไร ตนจึงไม่ต้องกังวลกับปัญหาของมิสเตอร์เวิร์ล
หลังจากเตรียมแท่นบูชาเสร็จ เด็กหนุ่มหยิบหลอดโลหะสองหลอดที่บรรจุเลือดของตนและ ‘อัศวินรุ่งอรุณ’ แห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ออกมาถือ
อัศวินรุ่งอรุณคนดังกล่าวค่อนข้างมีอายุ ร่างกายของมันมิอาจทนต่อการกัดกร่อนจากสารพิษในอาหารที่สะสมมานาน อนาคตของมันค่อนข้าง ชัดเจน อีกไม่นานก็จะดำเนินไปถึงจุดจบของชีวิต เมื่อสองวันก่อนจึงตัดสินใจบอกหลานสาวแทงดาบเพื่อปลิดชีพ
เดอร์ริคได้รับการยินยอมจากเจ้าเมืองให้หาโอกาสเก็บเลือดของผู้ตาย
สำหรับเลือดของปีศาจที่มิสเตอร์เวิร์ลต้องการ ในคลังของเมืองเงินพิสุทธิ์ไม่มีเก็บไว้ แต่เจ้าเมืองโคลินรับปากว่า หากเห็ดดังกล่าวทำให้ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์พึงพอใจ มันจะตั้งทีมล่าและออกเดินทางไปจุดที่มีปีศาจชุกชุม
หลังจากวางท่อโลหะสองหลอดและกระดาษหนังสัตว์ลงบนแท่นบูชา เดอร์ริคก้าวถอยหลัง หันหน้าเข้าหาเทียนไขที่ถูกจุด เริ่มประกอบพิธีกรรมสังเวยและรับมอบ
เมื่อผ่านขั้นตอนอันวุ่นวาย ประตูมายาซึ่งเกิดจากเปลวไฟเทียนไขและวัสดุวิญญาณได้เปิดออก สิ่งของบนแท่นบูชาถูกดูดหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงแสงอันเจิดจ้า
เมื่อแสงจางลง เห็ดที่มีรูปร่างแตกต่างกันปรากฏสู่สายตาเดอร์ริค
สำหรับคำถามที่ว่า ‘รูปลักษณ์’ ของเห็ดผิดไปจากปกติหรือไม่ เดอร์ริคมิได้ใส่ใจนัก เพราะตลอดชีวิตของมันเคยเห็นเห็ดแค่ครั้งเดียว และไม่ทราบว่าเห็ดดังกล่าวปกติหรือไม่ เรียกได้ว่าขาดแคลนแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ
เมื่อนึกทบทวนคำอธิบายของมิสเตอร์เวิร์ล เดอร์ริคจัดหมวดหมู่ของเห็ดและแยกเก็บใส่กระเป๋า
ทันทีหลังจากนั้น มันมิอาจเก็บซ่อนความตื่นเต้น รีบหยิบไม้กางเขนเจิดจรัสและเตรียมมุ่งหน้าไปยังยอดหอคอย
ทว่า ทันทีที่ฝ่ามือสัมผัสกับไม้กางเขนทองแดงอมเขียว ความแสบร้อนและซาบซ่านพลันแล่นไปทั่วร่าง ขณะเดียวกันก็มีจุดแสงส่องจากไม้กางเขนไปทางเห็ด
“พวกมันคือสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็นต้องถูกชำระล้าง…” เดอร์ริคออกอาการสับสน แต่ในที่สุดก็เลือกจะเชื่อใจเดอะเวิร์ล
มันนำไม้กางเขนเจิดจรัสไปซ่อน ถือค้อนเทพสายฟ้าคำรามและตรงไปยังยอดหอคอยเพื่อพบเจ้าเมืองโคลิน
“นี่คือเห็ดที่เคยเล่าให้ฟัง?” ขณะถาม นักล่าปีศาจโคลินอาศัยดวงตาที่มีสัญลักษณ์สีเขียวซับซ้อน จ้องไปทางกลุ่มเห็ดซึ่งประกอบด้วยเห็ดสีขาวล้วน หรือไม่ก็เห็นที่มีลักษณ์คล้ายเนื้อ
“ครับ…” เดอร์ริคเริ่มการแนะนำ
โคลินกลับเป็นปกติ กล่าวหลังจากเงียบไปหลายวินาที
“พวกมันมีกลิ่นอายของมลทินและความชั่วร้าย แต่ก็น้อยจนอยู่ในระดับที่รับไหว…คุณสมบัติดังกล่าวอาจหายไปหลังจากได้กินเลือดเนื้อของสัตว์ประหลาด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ