กรุงเบ็คลันด์ บ้านเลขที่เจ็ด ถนนพินสเตอร์
หลังจากวันที่วุ่นวายจบลง ในที่สุดเลียวนาร์ดก็มีโอกาสได้ถามในสิ่งที่สงสัย
“ตาแก่ ปราสาทต้นกำเนิดคืออะไร?”
เสียงค่อนข้างชราในใจเงียบไปสักพัก หัวเราะในลำคอและกล่าว
“สถานที่ที่เจ้าไปชุมนุมทุกวันจันทร์น่าจะเป็นปราสาทต้นกำเนิด”
“…” เลียวนาร์ดไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้ สมองของมันขาวโพลนไปชั่วขณะ เกิดเป็นความประหลาดใจและตกตะลึง ผสมปนเปกันอย่างซับซ้อน
ผ่านไปสักพัก มันถามเสียงต่ำด้วยความร้อนรน
“แล้วปราสาทต้นกำเนิดคือสถานที่แบบไหน”
พาลีส·โซโรอาสเตอร์ถอนหายใจพลางหัวเราะจิกกัดตัวเอง
“อันที่จริง ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก เคยได้ยินแค่ในข่าวลือ…เป็นตำนานพระผู้สร้างที่ต่างออกไปจากที่เจ้าเคยฟัง…ตามข่าวลือ พระผู้สร้างต้นกำเนิดได้ทิ้งสมบัติที่แตกต่างกันไว้เก้าชนิด บ้างเป็นอาณาจักร บ้างเป็นเมือง แม่น้ำ ทะเล และกุญแจ… ปราสาทต้นกำเนิดคือหนึ่งในนั้น…รูปลักษณ์ที่แท้จริงอาจไม่ใช่ปราสาท แต่อยู่ในโฉมอื่น…ส่วนจะเป็นอะไรนั้น เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้า…สาเหตุที่ข้ามั่นใจว่ามันมีอยู่จริง เพราะในตอนที่กลายเป็นเทวทูต ข้าสัมผัสถึงมันได้ แต่มองไม่เห็นและมิอาจสร้างการเชื่อมต่อ…ปู่ทวดของข้าสันนิษฐานว่า ทั้งเก้าสิ่งอาจถูกบันทึกไว้ในศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองในฐานะ ‘แก่นแท้แห่งต้นกำเนิด’ น่าเสียดาย เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ ท่านมิอาจถอดรหัสความหมายที่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด”
เลียวนาร์ดสงบสติลง เอนหลังพิงโซฟาพลางถาม
“ตาแก่…คุณสงสัยว่ามิสเตอร์ฟูลคือร่างอวตารของแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด?”
พิจารณาจากสิ่งที่มันเคยฟังจากชุมนุมทาโรต์ และสิ่งที่ตาแก่พาลีสมักเล่าให้ฟัง มันเริ่มตระหนักถึงระดับของทวยเทพตนนี้อย่างคร่าว
พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบงันเป็นเวลานาน
“อาจจะ…”
…
ในค่ำคืนที่มีการบังคับใช้กฎเคอร์ฟิวอย่างเข้มงวด ท้องถนนเบ็คลันด์แทบไม่มีผู้คนเดินเตร็ดเตร่ นาน ๆ ครั้งจะมีรถม้าแล่นผ่านไป บุคคลด้านในเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม
หลังจากไคลน์มาถึงบ้านที่นัดหมาย มันไม่รีบร้อนเข้าไป เพียงหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ยกมือขวาขึ้นจับอากาศด้านหน้า ดึงเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ที่แต่งกายด้วยเสื้อขนสัตว์สีดำกระดุมสองแถว หมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง และไม้ค้ำออกจากความว่างเปล่า
นี่คือภาพฉายทางประวัติศาสตร์ของตัวมันในช่วงเวลาก่อนหน้าเพียงไม่นาน ขณะที่เพิ่งออกจากบ้านเช่า
เนื่องจากมีไคลน์ตัวจริงยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ภาพฉายดังกล่าวจึงดูแข็งทื่อราวกับอุปกรณ์ประกอบฉากบนเวที
จากการทดลองในช่วงที่ผ่านมา ไคลน์ค้นพบกฎทางศาสตร์เร้นลับ ‘จิตใต้สำนึกเพียงหนึ่งเดียวในช่วงเวลาหนึ่ง’ กล่าวคือ ในช่วงเวลาหนึ่ง ทุกคนจะมีจิตสำนึกที่แท้จริงได้เพียงหนึ่งเดียว หากไคลน์ตัวจริงมีความคิดและสติ ภาพฉายทางประวัติศาสตร์จะไม่มี
ผลลัพธ์เป็นเช่นเดียวกันการอัญเชิญคนตาย ไคลน์จึงสงสัยว่า อาจเป็นเพราะตนยังมีระดับพลังไม่เพียงพอ หรือกล่าวโดยย่อ ภาพฉายทางประวัติศาสตร์จะต่อสู้และมีกลไกความคิดในระดับแค่พื้นฐาน จะอ้างอิงจากสัญชาตญาณของร่างต้นเป็นหลัก และจะเกิดผลลัพธ์แบบเดียวกันต่อให้ปราชญ์โบราณอัญเชิญภาพฉายของตัวเองออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์
สิ่งนี้ช่วยยืนยันหนึ่งในข้อสันนิษฐานของไคลน์ที่ว่า ภาพเหตุการณ์ที่ปราชญ์โบราณมองเห็นในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ คือสิ่งที่ปราชญ์โบราณผ่านการศึกษาและเข้าใจอย่างถ่องแท้บนโลกความจริง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ปราชญ์โบราณมีหน้าที่ต้อง ‘ขจัด’ หมอกที่คอยปิดบังประวัติศาสตร์ออกไปให้หมด
และแน่นอน ไคลน์เชื่อว่าหากชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์เดียวกันถูกเปิดเผยจนเกือบหมด ความลับที่เหลือเป็นส่วนน้อยก็จะถูกเผยออกมาตามธรรมชาติ
อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่า พลังพิเศษของเป้าหมายจะไม่ตกหล่นเพียงเพราะเรารู้จักอีกฝ่ายไม่ดีพอ…ตราบใดที่ดึงภาพฉายทางประวัติศาสตร์ออกมาได้สำเร็จ สถานภาพของเป้าหมายในช่วงเวลาดังกล่าวจะถูกบันทึกไว้อย่างสมบูรณ์…แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว…ไคลน์ชำเลืองไปทางภาพฉายประวัติศาสตร์ของตนที่เคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณ จากนั้น ร่างจริงของไคลน์พลันเลือนหายและเข้าไปอยู่ในหมอกสีเทา
แม้แต่สุนัขแห่งฟัลกริมที่เป็น ‘ปราชญ์โบราณไม่สมบูรณ์’ ก็ยังอาศัยในช่องว่างของประวัติศาสตร์ได้ นับประสาอะไรกับปราชญ์โบราณตัวจริงเสียงจริง แต่ปัญหาก็คือ ระยะเวลามีจำกัด และนอกจากนั้น หากตัดขาดจากโลกความจริงนานเกินไป หุ่นเชิดจะเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม สำหรับปราชญ์โบราณ ความตายของหุ่นเชิดก็แค่การแยกจากกันทางกายภาพ แต่ความจริงแล้วยังอยู่ร่วมกันในอีกรูปแบบหนึ่ง
ในวินาทีที่ร่างต้นของไคลน์เข้าไปอาศัยอยู่ในจุดแสงของหมอกสีเทา จิตใต้สำนึกของชายหนุ่มถูกโอนถ่ายมายังภาพฉายทางประวัติศาสตร์บนโลกความจริงทันที
ไคลน์ซึ่งกำลังใช้ใบหน้าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ยกมือกดหมวกทรงกึ่งสูงเหนือศีรษะ เดินมาถึงหน้าบ้านหลังที่นัดหมาย หยิบมาสเตอร์คีย์ออกมาสอดเข้าไปในรูกุญแจพร้อมกับออกแรงบิดแผ่วเบา
ร่างของมันหายเข้าไปโผล่ในตัวบ้าน สายตากวาดมองอย่างรวดเร็วท่ามกลางแสงจันทร์สีแดง
ไม่ว่าจะโซฟา ตู้ เก้าอี้พนักสูง โต๊ะกาแฟ หรือเครื่องเรือนชิ้นอื่น ทั้งหมดดูค่อนข้างโบราณ ราวกับหลุดมาจากศตวรรษก่อนหน้า
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมมืดสลัว ชารอนซึ่งแต่งกายในชุดเดรสโกธิกสีเข้มซับซ้อน บนศีรษะสวมหมวกอ่อนสีเดียวกัน ปรากฏกายขึ้นบนเก้าอี้พนักสูง
“สายัณห์สวัสดิ์” หุ่นกระบอกสาวผงกศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับทักทาย
หากเธอไม่พูดหรือขยับตัว จะดูเหมือนกับตุ๊กตาเลอค่าที่ถูกสร้างอย่างประณีตที่สุดในโลก
ขณะเดียวกัน มาริคที่แต่งกายในเชิ้ตสีขาวและเสื้อกั๊กสีดำ ปรากฏตัวบนโซฟา
…คุณสุภาพบุรุษ นี่ก็เข้าฤดูหนาวแล้ว แต่งตัวแบบนี้ไม่กลัวแข็งตายหรือ? นั่นสินะ นายคือคนตาย และคนตายก็คงไม่กลัวหนาว…ไคลน์พึมพำเงียบ ถอดหมวกออก หันไปทางชารอนเจ้าของผมสีทองอ่อน ตาสีฟ้า จากนั้นก็ก้มศีรษะ
“สายัณห์สวัสดิ์ มิสชารอน”
ถัดมา มันหมุนตัวครึ่งหนึ่งและหันไปพูดกับมาริค
“สายัณห์สวัสดิ์”
สำหรับอดีตซอมบี้ซึ่งกลายเป็นวิญญาณอาฆาตในปัจจุบัน ความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดของไคลน์ก็คือ อีกฝ่ายชอบตั้งวงเล่นไพ่กับฝูงซอมบี้ที่ตัวเองเป็นคนบังคับ
ถ้าว่างก็เล่นไพ่กันได้นะ…ชายหนุ่มถอนหายใจเงียบ
สาเหตุที่ไคลน์นึกถึงการเล่นไพ่ขึ้นมา เพราะเมื่อลองวิเคราะห์หลักการต่อสู้ของปราชญ์โบราณ มันพบว่าหากตนต้องเผชิญหน้ากับซาราธ สถานการณ์จะไม่ต่างกับการเล่นไพ่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ