ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ นิยาย บท 1139

เหนือสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต ไคลน์ปรากฏกายภายในวังโบราณ

เพียงมองไปรอบตัว มันพบความแตกต่างหลายจุด

จากบรรดาทั้งหมด จุดที่ชัดเจนที่สุดคือการที่โครงสร้างและสภาพปัจจุบันของมิติลึกลับแห่งนี้ ฉายเข้ามาในร่างวิญญาณไคลน์โดยตรง ช่วยให้มองเห็นเมฆสีเทาและบานประตูแห่งแสงแม้จะอยู่ห่างออกไป

นอกจากวังที่เราจินตนาการขึ้น และบานประตูแสงที่มีอยู่ตั้งแต่แรก ที่นี่ไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่าและไร้ขอบเขต อัดแน่นด้วยพลังงานระดับสูง…ไคลน์พึมพำ นั่งลงพร้อมกับยกมือขวาขึ้น

เพียงพริบตา หมอกสีเทาทั้งหมดพลันเดือดพล่าน แม้กระทั่งมิติลึกลับก็ยังสั่นไหว ละอองแสงสีเข้มสว่างขึ้นด้านบน

ละอองแสงมารวมตัวกันและแปรสภาพกลายเป็นเทวทูตโปร่งแสงตามที่ไคลน์ต้องการ ด้านหลังมีปีกมายาหลายชั้น ระดับความแข็งแกร่งและความน่าเกรงขามทัดเทียบกับเทวทูตตัวจริง ทั้งสง่างาม ศักดิ์สิทธิ์ และสะกดข่ม

ไม่จำเป็นต้องฝังไพ่จักรพรรดิมืด ทรราช หรือนักบวชสีชาด ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคทาเทพสมุทร…ลำพังตัวเราคนเดียวก็สามารถระดมพลังของมิติลึกลับได้เกือบทั้งหมด เกิดเป็นเทวทูตของเดอะฟูลที่มีลำดับสองอย่างแท้จริง แต่แน่นอน เทวทูตดังกล่าวมิอาจตอบสนองต่อคำสวดวิงวอน และมิอาจคงสภาพไว้ได้นานนัก…มีพลังประเภทอ้อมกอดและโจมตีได้ไม่กี่ครั้ง รวมถึงพลังในขอบเขต ‘ปาฏิหาริย์’ บางชนิด…

อย่างที่คิด พลังการคืนชีพของเราคือของขวัญจากปราสาทต้นกำเนิด…ตอนนี้คืนชีพได้ทั้งหมดกี่ครั้งกันนะ…ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีตรวจสอบ เว้นเสียแต่จะมีสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์บางชิ้น…แต่แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว เราไม่ควรพึ่งพามันมากเกินไป…ผู้วิเศษเส้นทางนักทำนายต้องดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาทเสมอ…

น่าเสียดาย…ปาฏิหาริย์ระดับนี้กลับใช้ได้แค่เราคนเดียว…

แต่แน่นอนนั่นหมายถึงในปัจจุบันหากต้องการควบคุมพลังของมิติแห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยก็ต้องก้าวไปถึงระดับเทวทูตหรือไม่ก็ลำดับศูนย์ซึ่งนั่นจะทำให้ปราสาทต้นกำเนิดมีอานุภาพสมชื่อของมัน…ส่วนบานประตูแห่งแสง เงื่อนไขในการใช้งานอาจสูงยิ่งกว่านั้นอีก…ตอนนี้เรายังมองไม่เห็นอันตรายจากมัน…

จุดประสงค์ของปราสาทต้นกำเนิดคืออะไร? จับนักเดินทางข้ามโลกมาขังและทยอยส่งลงไปช่วยคืนชีพให้พระผู้สร้างต้นกำเนิด? ไคลน์สะบัดมือขวาแผ่วเบา สลายเทวทูตที่ศักดิ์สิทธิ์และทรงพลัง

ปราสาทต้นกำเนิดสงบลงทันที

จากนั้น ไคลน์ลุกขึ้นยืน ก้าวไปบนเมฆสีเทาที่ควบแน่นกลางอากาศ หยุดยืนหน้าบานประตูแห่งแสงแปลกประหลาดที่ประกอบจากลูกบอลแสงจำนวนนับไม่ถ้วน

บานประตูแห่งแสงมีสีน้ำเงินและดำปะปนเล็กน้อย แกนกลางลูกบอลแสงทุกลูกคือกลุ่มหนอนแมลงโปร่งใส

ขณะจ้องมอง ‘รังไหม’ โปร่งใสซึ่งถูกแขวนไว้ด้วยด้ายสีดำเส้นบาง ไคลน์ลองเหยียดแขนขวาออกไปหาประตู พยายามสัมผัสกับมัน

ในที่สุดฝ่ามือของมันก็เอื้อมถึงประตู แต่ปลายนิ้วกลับทะลุผ่านไปราวกับเป็นเพียงภาพมายา

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับคราวก่อน บานประตูมายาดู ‘จริง’ ขึ้นกว่าคราวก่อน คล้ายกับสามารถกลายเป็นจริงได้ในอนาคต

สิ่งนี้คือแก่นแท้ของปราสาทต้นกำเนิด? ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ย้ายตัวเองกลับมาที่วังโบราณ

โดยไม่มัวรีรอ ชายหนุ่มออกจากมิติหมอกและเริ่มทดสอบพลังใหม่

ก่อนอื่นก็ต้องคิดพระนามเต็มอันมีเกียรติ…ลำดับสามจะตอบสนองได้ในระดับ ‘ดินแดน’ แต่รัศมีจะแตกต่างกันไปตามอำนาจที่ถือครอง เห็นได้ชัดว่า ‘เจ้าสมุทร’ มีอำนาจการปกครองค่อนข้างกว้างกว่าเส้นทางอื่น…ชื่อของเราควรเป็นอะไรดี? กรุงเบ็คลันด์? ผู้พิทักษ์เหล่าเด็กยากไร้ในกรุงเบ็คลันด์? ฟังดูประหลาดชะมัด…

อา…คนอื่นอาจต้องดิ้นรนภายใต้ขีดจำกัด แต่กับเราแล้วไม่ใช่ ทางนี้สามารถใช้ ‘ข้ารับใช้แห่งปราสาทต้นกำเนิดและโลกวิญญาณ’ แทนได้ และผู้ที่เป็นข้ารับใช้ของทั้งสองอย่างคงมีแค่เราคนเดียว ไม่ซ้ำกับใครแน่นอน ด้วยชื่อดังกล่าว ทุกคนที่อยู่ในเขตหรือในเมืองเดียวกับเรา สามารถสวดวิงวอนถึงเราได้โดยตรง…

แต่ถ้าอยู่นอกเขตก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เราไม่สามารถแบ่งหนอนวิญญาณเก็บไว้บนมิติหมอกได้เหมือนกันคทาเทพสมุทรที่อาศัยพลังของปราสาทต้นกำเนิดในการตอบสนองคำวิงวอนจากทั่วโลก…แม้ว่าตอนนี้จะยังมิอาจยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างเทวทูตมืดกับเทพสุริยันบรรพกาล แต่เราก็ควรระวังการก่อกบฏของหุ่นเชิดและร่างโคลนของตัวเองไว้บ้าง… นอกจากนั้น การแบ่งหนอนวิญญาณทิ้งไว้แค่ไม่กี่ตัวคงไม่เกิดประโยชน์ หากต้องการผลลัพธ์แบบเดียวกับคทาเทพสมุทร เราต้องแบ่งหนอนวิญญาณไว้บนปราสาทต้นกำเนิดเป็นจำนวนมหาศาล และในปัจจุบันก็ยังทำแบบนั้นไม่ได้…

เหนือสิ่งอื่นใด จิตใจของเรายังปรกติ ไม่เกิดการแบ่งบุคลิกที่สอง ยังไม่ได้เป็นคนเย็นชาและป่าเถื่อน…เห็นได้ชัดว่าตราประทับที่ปราชญ์โบราณสลักไว้ในประวัติศาสตร์คือ ‘หลักยึดเหนี่ยว’ ที่เพียงพอ…นอกจากนั้น อาการของจักรพรรดิโรซายล์แย่ลงหลังจากกลายเป็นเทวทูต เขาจึงต้องแก้ไขด้วยการใช้สาวกเป็นหลักยึดเหนี่ยว สำหรับเรายังอีกห่างไกล ถือเป็นก้าวที่ใหญ่มาก…คงต้องหาข้อมูลเผื่อไว้ว่า หลักยึดเหนี่ยวนอกจากสาวกแล้วยังมีอะไรได้อีก…ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์หยิบกระดาษกับปากกา

มันเขียนพระนามเต็มอันทรงเกียรติของตัวเอง

“ข้ารับใช้แห่งโลกวิญญาณและปราสาทต้นกำเนิด”

ครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มเขียนวรรคที่สองและสามโดยอาศัยประสบการณ์อันยาวนานและความรู้จากลวดลายศักดิ์สิทธิ์

“ตัวตนเร้นลับจากอดีตกาล”

“ประจักษ์พยานแห่งห้วงประวัติศาสตร์ชั่วนิรันดร์”

เนื่องจากลำดับสามไม่ใช่เทพแท้จริง จึงมิอาจใช้พระนามเต็มเพียงสามวรรค ไคลน์ไตร่ตรองสักพักและเพิ่มอีกสองประโยค

“ผู้พิทักษ์ละครและมายากล”

“มหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์”

อันที่จริง บุคคลที่ไม่ใช่เทพแท้จริงก็สามารถมีพระนามเต็มสามวรรคได้ แต่ต้องมีวรรคหนึ่งผูกโยงกับเทพแท้จริง ยกตัวอย่างเช่น ไคลน์สามารถใช้นามเต็มว่า ‘ข้ารับใช้แห่งเทพธิดารัตติกาล’ แต่โดยพื้นฐานแล้ว ชื่อแบบนี้จะฟังดูไม่เหมือนนามเต็ม แต่เหมือนกับบทสวดอัญเชิญที่ใช้กับผู้ส่งสารมากกว่า อย่างไรก็ดี ในกรณีของผู้ส่งสาร สถานะของสิ่งมีชีวิตคือสัตว์วิญญาณ ข้อจำกัดตรงนี้จะไม่เหมือนกับมนุษย์ ต่อให้ระบุว่าเป็นข้ารับใช้ของเทพแท้จริงก็ไม่เกิดประโยชน์ นั่นคือเหตุผลที่การอัญเชิญผู้ส่งสารส่งเดชเป็นเรื่องที่อันตราย เพราะไม่รู้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตแบบใดออกมา

ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์บังคับหุ่นเชิดเอ็นยูนท่องพระนามเต็มของตนเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ

ผ่านไปไม่กี่วินาที ชายหนุ่มยกมือขวาลูบหน้าผาก สีหน้าเผยความแปลกใจ

มันไม่ได้ยินคำสวดวิงวอน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ