อ่านสรุป ราชันเร้นลับ 1138 : ปราชญ์โบราณ จาก ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ โดย Internet
บทที่ ราชันเร้นลับ 1138 : ปราชญ์โบราณ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายInternet ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
บนที่ราบสูง เหนือแท่นบูชาที่มีดวงตา แขน หัว และอวัยวะภายในวางกอง
แสงสีแดงเข้มพวยพุ่งราวกับเลือดสด บิดตัวกลายเป็นเงาดำที่ดูคล้ายกับต้นไม้กลายพันธุ์
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น กระดูกมนุษย์ เทียนไข ถาดเงิน กล่องทอง และวัตถุชิ้นอื่น สั่นสะเทือนรุนแรงราวกับจะสลักรอยขีดข่วนลงในวิญญาณ
บทสวดของผู้วิงวอนโดยรอบมีอันต้องหยุดชะงัก พวกมันก้มศีรษะลงตามสัญชาตญาณและหมอบกราบไปบนพื้น
จากนั้น พวกมันเข้าใจตรงกันโดยปริยาย
“ทะเลคลั่ง เกาะแนวปะการัง…”
…
เมื่อเห็นวังโบราณเหนือสายหมอกสีเทาด้วยสองตา ขณะเดียวกันก็สัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนแผ่วเบาของพื้นที่ลึกลับ ไคลน์ทราบทันทีว่า สายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นระหว่างตนกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ปราสาทต้นกำเนิด’ แนบแน่นขึ้นไปอีกระดับ
ในวินาทีนี้ มันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า สถานที่ดังกล่าวคือของตน
เพียงไม่กี่วินาที ความผิดปรกติบนท้องฟ้าเลือนหายไป ไคลน์ไม่มัวรีรอ บังคับหุ่นเชิดทั้งสองเก็บสิ่งของมีค่าและทำลายที่เหลือ จากนั้นก็นำกระดาษคนออกมาสะบัดหนึ่งครั้ง
สิ้นเสียงกระดาษปะทะกับอากาศ กระดาษคนลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีแดง ปีกมายาที่คมชัดงอกออกจากแผ่นหลังพวกมัน
ไคลน์ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น ไม่คิดว่าการแทรกแซงจากกระดาษคนตัวแทนแสนธรรมดา จะมีกลิ่นอายคล้ายอ้อมกอดเทวทูต
มันรีบคว้าหุ่นเชิดเอ็นยูนและโจนาส อาศัยความช่วยเหลือจากพลังเทเลพอร์ต หายตัวไปจากเกาะที่เกิดจากแนวปะการัง
หลังจากอ้อมไปรอบเกาะหลายแห่งบนทะเลโซเนีย ในที่สุดไคลน์ก็กลับมายังบ้านเช่าในเขตตะวันออกของกรุงเบ็คลันด์
ระหว่างการเดินทาง มันกระหน่ำใช้กระดาษคนตัวแทนที่ถูกยกระดับเชิงคุณภาพเพื่อขัดขวางการทำนายถึง แกะรอย และพยากรณ์
ฟู่ว…เราไม่คิดว่าการเลื่อนลำดับจะสร้างความเปลี่ยนแปลงกับปราสาทต้นกำเนิด จนก่อให้เกิดทัศนียภาพที่มิอาจปกปิด…โชคดีที่เราระวังตัวมากพอ เพราะถ้าประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับในกรุงเบ็คลันด์ อามุนด์กับซาราธคง ‘เห็น’ แน่นอน…ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย จากนั้นก็เข้าไปในมิติหมอกเพื่อทำนายยืนยัน
หลังจากมั่นใจว่าปลอดภัย มันไม่แช่อยู่นาน รีบกลับโลกความจริงและเข้าฌานเพื่อหลอมรวมพลังวิญญาณที่กำลังแตกซ่าน
เมื่อจัดการเสร็จ มันเปลี่ยนเสื้อผ้า ทิ้งตัวลงนอนและหลับสนิท
โดยทั่วไปแล้ว จอมเวทพิสดารที่เลื่อนลำดับไปเป็นปราชญ์โบราณสำเร็จจะไม่อ่อนเพลียอย่างที่ไคลน์เป็น และมีพละกำลังเหลือเฟือในการตรวจสอบสภาพร่างกายใหม่ แต่ขณะไคลน์สำรวจประวัติศาสตร์ มันอาศัยความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์โบราณที่เกินสามัญสำนึกอย่างเต็มที่ ทำการสำรวจลึกไปถึงจุดเริ่มต้นของยุคสมัยที่สอง หรือแม้กระทั่งจุดสิ้นสุดยุคสมัยที่หนึ่ง ในตอนที่วังราชาคนยักษ์ถือกำเนิด
ประสบการณ์เช่นนี้เทียบเท่าการย่อยโอสถ
หลังจากหลับลึกนานหลายชั่วโมง ไคลน์ตื่นขึ้นและบรรจงลืมตา
มันคลำหาหมอนและลุกขึ้นนั่งบนเตียง สอดหมอนไว้ด้านหลัง เงยหน้าขึ้นพลางลูบหน้าผาก
หลังจากผ่อนคลายตัวเองนานกว่าสิบนาที มันตื่นตัวเต็มที่และเริ่มสำรวจตัวเอง
อย่างที่คิด เราย่อยโอสถไปได้เกือบหมดทันทีหลังจากดื่ม…อย่างน้อยก็สี่ในห้าส่วน…ตรงตามที่คาดหวัง…แต่เราไม่รู้ว่าต้องรวบรวมข้อมูลโบราณมากเพียงใดเพื่อให้ย่อยโอสถได้สมบูรณ์…
ดูเหมือนว่า หลักการย่อยโอสถจะมีอยู่สองรูปแบบ หนึ่ง สวมบทบาทเป็น ‘ปราชญ์จากยุคโบราณ’ และสอง สวมบทบาทเป็น ‘ปราชญ์ที่ศึกษาประวัติศาสตร์โบราณ’ จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ใด…บทบาทแรกไม่ใช่เรื่องยาก เงื่อนไขของพิธีกรรมเลื่อนลำดับช่วยให้ทุกคนเป็น ‘ปราชญ์จากยุคโบราณ’ ได้อยู่แล้ว…
แต่บทบาทที่สองนั้นยากมาก…อาจง่ายในสังคมสมัยใหม่ แต่ไม่ใช่กับยุคสมัยที่มีเทพ ปีศาจ และมาร…ลำพังการรวบรวมข้อมูลโบราณก็มีความเสี่ยงสูงแล้ว ยังไม่นับรวมถึงการศึกษาประวัติศาสตร์ที่อาจตายได้ทุกเมื่อโดยไม่รู้ตัว เพราะยิ่งเข้าใกล้ความจริง อันตรายก็ยิ่งมาก…
การที่เรารวบรวมข้อมูลได้มากขนาดนี้ ส่วนใหญ่ต้องขอบคุณ ‘แผนการ’ ของตัวตนที่ยิ่งใหญ่สองสามคน รวมถึงชะตากรรมอันซับซ้อนที่ชักนำโดยปราสาทต้นกำเนิด จนได้มีประสบการณ์ที่ชีวิตโลดโผนดังที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งที่เป็นข้ารับใช้ของเทพแท้จริง เรากลับพลาดท่าตายไปแล้วหนึ่งครั้ง นับประสาอะไรกับปราชญ์โบราณคนอื่น…
มันคงง่ายขึ้นถ้า ‘ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์’ และ ‘ปราชญ์โบราณ’ สลับวิธีการสวมบทบาทกัน…แต่โลกนี้ไม่มีคำว่าถ้า…
นอกจากนั้น สองวิธีในการสวมบทบาทที่เราเพิ่งสรุปได้ เน้นหนักที่คำว่า ‘โบราณ’ มากเกินไป ต้องสนใจคำว่า ‘ปราชญ์’ ด้วย…ต้องเรียนรู้สิ่งใดจากประวัติศาสตร์จึงจะคู่ควรกับคำว่า ‘ปราชญ์’ ?
หลังจากนี้ มีหลายทิศทางที่เราต้องมุ่งหน้าไป…อันดับแรกคือการยืนยันสถานการณ์ปัจจุบันของเทวทูตมืด ซาสเรีย และศึกษาขั้นตอนการเกิดมหาภัยพิบัติอย่างละเอียด ถัดมา เราต้องทุ่มเวลาให้กับการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์อย่างละเอียดของยุคสมัยที่สี่เข้าด้วยกัน ไม่ใช่พึงพอใจแค่การปะติดปะต่อเหตุการณ์อย่างคร่าว…ประการที่สาม ต้องเจาะลึกประวัติศาสตร์ในบางจุด เช่นการผงาดและร่วงหล่นของตระกูลอันทีโกนัส…
สำหรับตอนนี้ ต่อให้เป็นวัตถุที่เราใกล้ชิดและเคยใช้งาน แต่ก็จะคงสภาพได้นานที่สุดไม่เกินสิบห้านาที…
แนวคิดที่ว่า ยิ่งสนิทสนมกันยิ่งมีโอกาสสำเร็จสูงนั้นน่าสนใจมาก…โดยพื้นฐานแล้ว การยืมพลังจากตัวเองในอดีตก็เป็นการอัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ประเภทหนึ่ง แต่เนื่องจากเราสนิทกับตัวเองมาก โอกาสล้มเหลวจึงแทบไม่มี…
หรือกล่าวได้ว่า หากเราต้องการอัญเชิญตัวตนที่ยิ่งใหญ่ออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ ก็ควรเลือกคนที่มีความสัมพันธ์ต่อกันมานาน…ยกตัวอย่างเช่น การอัญเชิญมิสเตอร์อะซิกจะมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าการอัญเชิญเทวทูตตนอื่น…
สิ่งนี้เรียกว่าพลังพิเศษได้หรือ? เห็นได้ชัดว่าเรายังต้องพึ่งพาทักษะทางด้านอารมณ์ มนุษยสัมพันธ์ และการสื่อสารระหว่างบุคคล!
ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน มันเชื่อโดยไม่คลางแคลงว่า พลังของปราชญ์โบราณนั้นเข้าขั้นมหัศจรรย์ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตัวตนที่อยู่ในช่องว่างประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่แข็งแกร่งเหนือจินตนาการ
ทว่า หากต้องการสำแดงพลังอย่างเต็มประสิทธิภาพ ปราชญ์โบราณจำเป็นต้องใช้สมองให้มาก แถมยังต้องเตรียมตัวล่วงหน้า
นี่คือ ‘กฎ’ ที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยของเส้นทางนักทำนาย
อา…หลังจากเรียกภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ออกมา เราคงสนทนาหรือสื่อสารกับพวกเขาไม่ได้…กล่าวคือ ปราชญ์โบราณไม่มีสิทธิ์แทรกแซงประวัติศาสตร์หรือเปลี่ยนแปลงอดีต…หากมองในมุมการสวมบทบาท เราสามารถสรุปแก่นสำคัญได้ว่า ปราชญ์โบราณต้อง ‘เป็นสักขีพยานให้กับอดีต’ ‘สร้างอิทธิพลกับปัจจุบัน’ และ ‘เปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้’
สำหรับกระดาษคนตัวแทน นอกจากการโอนถ่ายโรคภัย คำสาป การโจมตี คำพยากรณ์ และการจ้องมอง มันยังมีพลังใหม่ในการ ‘ถ่ายโอนอวัยวะบางส่วนของกระดาษ’ ให้กับเป้าหมาย…สมจริงมากจนต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะรู้ว่าเป็นของปลอม…หึหึ หากใครถูกทำลายหัวใจและรีบมาหาเรา ตราบใดที่สมองยังไม่ตาย เราสามารถมอบหัวใจกระดาษให้ จากนั้นก็ยืมความสามารถในการสูบฉีดเลือดมาจากประวัติศาสตร์…
ระยะเวลาในการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณเบื้องต้นเหลือแค่สองวินาที และใช้เวลาเพียงสิบวินาทีในการเข้าควบคุมอย่างสมบูรณ์พร้อมกับเปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิด…รัศมีการใช้งานพลังคือห้าร้อยเมตร…พลังสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดเพิ่มเป็นห้ากิโลเมตร…
กระโจนไฟสามารถใช้ได้ไกลถึงห้ากิโลเมตร…สามารถใช้ปืนใหญ่อัดอากาศได้อย่างอิสระ และหากเค้นพลังเต็มที่ ความรุนแรงจะเทียบเท่าปืนใหญ่ป้องกันชายฝั่ง…
สามารถแปลงร่างเป็นสิ่งมีชีวิตทุกชนิดได้โดยไม่มีขีดจำกัดด้านขนาดร่างกาย…อวัยวะจำลองบางชิ้นจะใช้งานได้จริง แต่บางชิ้นก็เป็นแค่เครื่องประดับ…
ฟู่ว…นี่คือปราชญ์โบราณที่ย่อยโอสถเกือบสมบูรณ์…สำรวจตัวเองเสร็จ ไคลน์บรรจงลุกขึ้นยืน
มันเตรียมส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอก เพื่อตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของปราสาทต้นกำเนิด
…………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ