ย่านสะพานเบ็คลันด์ ภายในโรงแรม
นอกจากความคิดที่ยังเป็นของตัวเอง ไคลน์มิอาจควบคุมสิ่งอื่นได้อีก แม้กระทั่งดวงตาตัวเอง
มันชัดเจนมากว่านี่คงเป็น ‘ปรสิต’ ในเชิงลึก
ในสถานะดังกล่าว ชายหนุ่มทำได้เพียงมองตรงอย่างสิ้นหวัง เห็นเอ็นยูนกลายร่างเป็นอามุนด์ตามปรกติ อีกฝ่ายเผยรอยยิ้มมุมปากพลางเดินทวนเข็มนาฬิกาและกระซิบเป็นภาษาจีนกลาง
“เซียนราชันฟ้าดินประทานโชค”
…อีกฝ่ายขโมยความคิดเรา หรือว่าความสามารถในการพูดจีน…น่าจะเป็นอย่างแรก ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้จักพิธีกรรม…ไคลน์ตกตะลึงสุดขีด แต่รูม่านตามิอาจเบิกกว้างไปกว่าเดิม ภายในใจกำลังกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
คล้ายกับอามุนด์ที่สวมแว่นตาขาเดียวสัมผัสถึงอารมณ์ของชายหนุ่ม มันชำเลืองมาทางด้านข้างเล็กน้อย แสยะยิ้มพลางก้าวทวนเข็มนาฬิกาอีกครั้งและเปล่งเสียงภาษาจีน
“เทพสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”
หลังจากนั้นผู้เย้ยเทพยังคงประกอบพิธีกรรมด้วยความชำนาญ ทุกย่างก้าว ทุกการท่องคาถาล้วนบีบหัวใจไคลน์ให้จมลงในบึงอันมืดมิด ราวกับว่าจะไม่ได้เห็นแสงสว่างอีกเลย
“…จักรพรรดิสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”
เมื่ออามุนด์ทำตามขั้นตอนสุดท้ายพลางท่องคาถา หมอกสีเทาไร้ขอบเขตพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าไคลน์พร้อมกับคำสวดวิงวอน
โดยไม่ต้องได้ยินชัด สัมผัสวิญญาณช่วยบอกกับไคลน์ว่ามันหมายถึงสิ่งใด:
หลังจากเลื่อนลำดับเป็นปราชญ์โบราณ มันสามารถควบคุมปราสาทต้นกำเนิดได้ในระดับหนึ่ง หมายความว่าถึงจะมีคนอื่นสามารถประกอบพิธีกรรมอย่างถูกต้องพร้อมกับท่องคาถา แต่ก็ต้องได้รับอนุญาตจากไคลน์ก่อนหากต้องการเข้ามาในมิติหมอกสีเทา!
ขอปฏิเสธ! ไคลน์ยินดีปรีดาด้วยความคิดที่ชัดเจน
แต่ขณะผุดความคิดดังกล่าว มันหลงลืมไปในทันทีและเอาแต่ยืนนิ่งในตำแหน่งเดิมประหนึ่งรูปปั้นหินแกะสลัก
เจตนาที่ต้องการปฏิเสธ ถูกอามุนด์ขโมยไป
“…” ไคลน์กลับมาสิ้นหวังอีกครั้ง แต่พบว่าสายหมอกสีเทาเบื้องหน้าและคำสวดวิงวอนข้างหูกลับยังไม่เลือนหายไป
“…” ชายหนุ่มตกใจในตอนต้น ก่อนจะเริ่มตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น
เข้าใจแล้ว! วิธีที่เดียวที่จะอนุญาตให้อามุนด์เข้าไปได้ คือการที่เราต้องตอบสนองด้วยตัวเองบนมิติหมอก! ไม่มีตัวเลือกพื้นฐาน!
ความคิดดังกล่าวเป็นเหมือนกับฟางเส้นสุดท้าย ไคลน์คว้ามันไว้โดยไม่ลังเล ด้วยเกรงว่าตนจะจมลงไปในบึงเย็นเยียบอย่างเงียบงันโดยที่ไม่มีใครได้ยินเสียงตะโกน
แม้ว่าไคลน์จะยังไม่ทราบวิธีใช้ประโยชน์จากเรื่องดังกล่าว แต่สัญชาตญาณบ่งบอกว่า ความหวังและทางรอดอันริบหรี่อาจซ่อนอยู่ในนั้น
ขณะเดียวกันอามุนด์เลิกพฤติกรรมและหันมาทางไคลน์
เห็นได้ชัดว่ามันจนปัญญาจะเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิด
เทวทูตกาลเวลาขยับแว่นตาขาเดียว แสยะยิ้มหน้านิ่ง
“เรียนมิสเตอร์ฟูล แนวคิดในการช่วยเหลือตัวเองของคุณน่าสนใจมาก”
อามุนด์ใช้ภาษาโลเอ็นตามปรกติ แต่ราวกับทุกคำสามารถระดมพลังธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดการ ‘ระเบิด’ ภายในใจไคลน์หลายระลอก
มันแน่ใจได้ยังไงว่าเราคือเดอะฟูล ไม่ใช่ข้ารับใช้ของเดอะฟูล…ร่างกายและจิตใจไคลน์กลับมาสงบสติ ความหวังที่เพิ่งโผล่พ้นน้ำ จมกลับลงไปในบึงอีกครั้ง
“ข้าแน่ใจได้อย่างไร?” อามุนด์ส่ายหน้าเล็กน้อย ดึงเก้าอี้ออกมานั่งพร้อมกับชี้ไปยังเก้าอี้กลมอีกฝั่ง “เชิญนั่ง”
ทันทีที่สิ้นเสียง ไคลน์ก้าวไปข้างหน้าอย่างมิอาจควบคุมและนั่งลงบนเก้าอี้กลม
อามุนด์มองไปรอบห้อง ยกมือขึ้นหยิบหมวกผ้าไหมสีดำของไคลน์ไปสวมเอง จากนั้นก็กล่าวพลางยิ้ม
“คิดจริงหรือว่าข้าจะไม่รู้เรื่องที่พิธีกรรมจะล้มเหลว? ปราสาทต้นกำเนิดเพิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ไม่นาน ข้าจะลืมเรื่องนี้ได้ยังไง…ข้าเพียงต้องการตรวจสอบท่าทีตอบสนองของเจ้า และความสิ้นหวังกับการตอบปฏิเสธโดยสัญชาตญาณที่เจ้าแสดงออก นับว่าน่าสนใจมากทีเดียว…หากเจ้าไม่ใช่คนที่เรียกตัวเองว่าเดอะฟูล แล้วจะมีความคิดในทำนองดังกล่าวได้อย่างไร? เรียนมิสเตอร์ฟูล ข้าพูดถูกใช่ไหม”
ขณะถามยอกย้อนสี่คำถาม สีหน้าของมันค่อนข้างกรุ้มกริ่ม ประหนึ่งพรานเฒ่ากำลังไล่จับหางจิ้งจอก
…เราถูกต้มจนเปื่อย…ไคลน์ตระหนักได้ทันทีว่าทำไมอามุนด์ถึงไม่แสดงความผิดหวัง
มันต้องการโต้แย้งตามสัญชาตญาณ แต่หลังจากนึกทบทวน มันเปิดปากกล่าวออกไปอย่างใจเย็น
“ฆ่าผมเถอะ”
เห…เราพูดได้แล้ว? ไคลน์ลองขยับร่างกาย แต่ก็ไม่ได้ผล
วินาทีถัดมา มันเตรียมท่องพระนามเต็มอันมีเกียรติของเทพธิดารัตติกาล แต่ความคิดดังกล่าวก็หายไปในทันที
ผู้เย้ยเทพอามุนด์ขยับแว่นตาข้างขวา กล่าวโดยรักษาความกระตือรือร้น
“เพื่อที่เจ้าจะได้คืนชีพภายในปราสาทต้นกำเนิด?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ