ประทานพรไม่ได้…เดอร์ริคสับสนเล็กน้อยกับคำตอบ ยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก
ย้อนกลับไปสมัยอยู่ในค่ายหมู่บ้านยามบ่าย ในตอนที่ยื่นสูตรโอสถอัศวินสีเงินให้เจ้าเมืองโคลินอีเลียด อีกฝ่ายออกปากชมเชยเดอร์ริคว่าเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ นั่นส่งผลให้เด็กหนุ่มเข้าใจว่าขีดจำกัดของเมืองเงินพิสุทธิ์จะไม่ใช่แค่ลำดับสี่ อีกต่อไป และคำพูดของเจ้าเมืองก็ไม่เคยสื่อว่า ปัจจุบันยังขาดการประทานพรจากภายนอก
ส่งผลให้เดอร์ริคเชื่อมาตลอดว่า เจ้าเมืองสามารถใช้สมบัติปิดผนึกระดับเทพทั้งสองชิ้นในการประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นอัศวินสีเงิน จึงเป็นเรื่องปรกติที่จะแสดงท่าทีประหลาดใจ
ในตอนนั้นท่านเจ้าเมืองยังไม่ทราบว่าสมบัติปิดผนึกทั้งสองมิอาจประทานพร…เพิ่งมารู้ตัวหลังจากกลับถึงเมือง? เดอร์ริคคาดเดาบางสิ่งตามความเคยชิน จากนั้นก็พยักหน้าและกล่าว
“ครับ…ผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ท่านเจ้าเมืองได้รับพรจากเทพ”
นักล่าปีศาจโคลินถอนหายใจแผ่ว ชี้ไปทางประตูห้องและกล่าว
“ห้องฝั่งตรงข้ามไม่มีใครอยู่”
เดอร์ริคหันหลังกลับ เดินผ่านกรอบประตูข้ามทางเดินไปยังห้องที่เปิดแง้ม
จากนั้นก็นั่งลงและสวดวิงวอนเสียงแผ่ว
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย”
“ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา”
“ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
ภายในปราสาทต้นกำเนิดที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางสายหมอกสีเทา ดวงดาวสีแดงเข้มตัวแทนเดอะซันยุบพองเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง รอบดวงดาวมีวงกลมที่คอยเปล่งเสียงสวดวิงวอน
ห่างออกไปไม่ไกลดาวแดงที่เป็นตัวแทน ‘เมจิกเชี่ยน’ เองก็อยู่ในสภาพคล้ายคลึงเนื่องจากเดอะฟูลยังมิได้ตอบสนอง ระลอกคลื่นและแรงกระเพื่อมที่แผ่ออกมาจากดาวทั้งสองดวง ซ้อนทับกันจนกลายเป็นแสงสีเข้ม
ท่ามกลางสายฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นระยะ ไคลน์ซึ่งถือตะเกียงหนังสัตว์เดินท่ามกลางหุบเขาและลำธาร ได้ยินเสียงวิงวอนมายาดังขึ้นข้างใบหู
แต่ในคราวนี้ชายหนุ่มพบว่าตนได้ยินเสียงค่อนข้างคมชัด ไม่เพียงจะแยกแยะได้ว่าคำวิงวอนมาจากหญิงหนึ่งชายหนึ่ง แต่ยังเข้าใจเนื้อหาบางส่วนได้อย่างชัดเจน ฝ่ายหญิงกล่าวถึงเดอะเวิร์ลและกรุงเบ็คลันด์ ฝ่ายชายพูดเป็นภาษาคนยักษ์ เนื้อหาเกี่ยวกับพิธีกรรม
พิธีกรรม…คนยักษ์…จากเดอะซันน้อยสินะ…หืม…เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ต้องการพรจากเดอะฟูล? แต่ตอนนี้เดอะฟูลกำลังต้องการพรจากใครสักคน…ฝ่ายหญิงอาจเป็นมิสเมจิกเชี่ยน แต่ก็อาจเป็นมิสจัสติสได้เช่นกัน…มุมปากไคลน์กระตุกด้วยความกระอักกระอ่วน สายตาชำเลืองไปทางบุรุษสวมหมวกปลายแหลมด้านข้าง
“ขอเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิดเพื่อตอบสนองคำวิงวอนได้ไหม”
“คิดว่ายังไงล่ะ?” อามุนด์ผงะเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยสีหน้าขบขัน
“ในเมื่ออยากเล่นเกม แล้วทำไมไม่ทำให้มันตื่นเต้นสักหน่อยล่ะ?” อันที่จริงไคลน์มิได้คาดหวังมากนัก เพราะหากอามุนด์ปล่อยให้ตนเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิดจริง ความยากลำบากที่กำลังเผชิญอยู่จะจบลงทันที ไม่ต่างอะไรกับการบอกให้อามุนด์ปล่อยเป็นอิสระ
เหตุผลที่มันเกริ่นขึ้นมาก็เพื่อชักนำไปยังบทสนทนาถัดไป
อามุนด์จับกรอบแว่นผลักแก้วพลางยิ้ม
“ในฐานะเทพแห่งการกลั่นแกล้ง ข้ามีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคสมัยที่สามจวบจนปัจจุบัน เจ้าคงเข้าใจความหมายใช่ไหม…จะถามอะไรล่ะ?”
…สามารถวิเคราะห์ความคิดและสภาพจิตใจของเราอย่างแม่นยำ…ไคลน์ถอนหายใจเงียบและถาม
“ในตอนนั้นทำไมคุณถึงยึดครองร่างทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์? แถมยังอดทนอยู่ในคุกใต้ดินมานานหลายสิบปี”
อามุนด์พยักหน้า ตอบด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าจะได้พบข้อมูลสำคัญภายในเมืองเงินพิสุทธิ์…และตอนนี้คำทำนายก็เป็นจริงแล้ว ใช่ไหมล่ะมิสเตอร์ฟูล?”
…ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อรอเรากับชุมนุมทาโรต์? ดูเหมือนว่าราชาเทวทูตเส้นทางนักจารกรรม สามารถมองเห็นการแทรกแซงในเชิงชะตากรรมจากฝีมือปราสาทต้นกำเนิดได้ในระดับหนึ่ง…ไคลน์คาดไม่ถึงกับคำตอบ จึงดำเนินบทสนทนาต่อไปไม่ถูก
ผ่านไปราวสิบวินาที ชายหนุ่มถอนหายใจ
“เป็นคนที่อดทนมาก”
ราชาเทวทูตที่ชอบกลั่นแกล้งและเล่นสนุก กลับยอมถูกขังอยู่ในคุกที่น่าเบื่อนานหลายสิบปี
“ไม่เกี่ยวกับความอดทน…ระยะเวลาที่ข้ารอคอยมิได้นานแต่อย่างใด” อามุนด์ตอบหน้านิ่ง
…เรายังติดนิสัยชอบนำบรรทัดฐานของมนุษย์ไปเปรียบกับเทพ…สำหรับอามุนด์ที่เกิดมาเป็นสัตว์ในตำนาน ระยะเวลาสิบปีคงน้อยนิดจนแทบไม่รู้สึก อายุจริงของชายคนนี้อาจมากกว่าสามพันปีด้วยซ้ำ…ไคลน์ปรับความเข้าใจใหม่จากนั้นก็เปลี่ยนคำถาม
“เมืองเงินพิสุทธิ์เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งที่ยังศรัทธาในบิดาของคุณ…การทำแบบนั้นกับทีมสำรวจ ไม่คิดว่าเล่นแรงไปหน่อยหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ