บนดินแดนเทพทอดทิ้ง ในยามค่ำคืนที่ความถี่สายฟ้าค่อนข้างต่ำ
ขนมปังขาวสองแผ่นกับเนื้อย่างช่วยให้รู้สึกดีมาก…เครื่องดื่มรสหวานอมเปรี้ยวจากทะเลหมอกรสชาติดีกว่าที่คิด…ไคลน์ถอนหายใจยาวหลังจากกลืนอาหารคำสุดท้ายลงท้อง มันโยนบรรจุภัณฑ์ของขนมปังและอาหารทิ้งในความมืด เพราะหากเป็นที่นี่ก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับกลุ่มรณรงค์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือถังขยะ
แน่นอนว่าไคลน์ไม่ลืมตัดขาดความเกี่ยวข้องกับขยะเหล่านั้น เฉกเช่นที่ต้องกลับเข้าปราสาทต้นกำเนิดเพื่อ ‘ฆ่าเชื้อ’ หลังจากสลายหุ่นเชิดทุกครั้งเพื่อป้องกันมิให้ถูกอามุนด์ระบุพิกัด
อา…วัตถุไร้ชีวิตจะไม่เข้าสู่สถานะถูกปกปิดภายในความมืด…ไคลน์ส่องตะเกียงที่เดนิสสังเวยให้ไปทางเศษขยะเมื่อครู่
หลังจากสะสางปัญหาเกี่ยวกับอาหาร ชายหนุ่มมีอารมณ์อยากทดสอบบางสิ่งที่ตนเคยทำนายวิเคราะห์ระดับอันตราย
ท่ามกลางแสงสลัว ไคลน์เหยียดมือไปข้างหน้าและลากใครบางคนออกจากอากาศ
เป็นตัวมันเองจากช่องว่างประวัติศาสตร์ซึ่งกำลังถือตะเกียง
วินาทีถัดมา ไคลน์เข้าไปในสายหมอกสีเทา ส่งผลให้จิตใต้สำนึกถูกถ่ายทอดมายังภาพฉายที่ตัวเองเรียก
ท่ามกลางเหล่าสัตว์ประหลาด ภาพฉายของชายหนุ่มอ้าปากในความมืดพร้อมกับเปล่งเสียง อมานีซิส
“…”
แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกจากปาก ราวกับสิ่งที่ต้องการจะพูดแต่ถูกใครบางคนปกปิดไว้
“เหมือนกับที่คิดไว้” ไคลน์ซึ่งแต่งกายในชุดกันลมคลุมเข่าและหมวกทรงกึ่งสูง ถอนหายใจออกเชื่องช้า
เฝ้ามองแสงไฟสีเหลือง มันเปล่งเสียงเป็นภาษาคนยักษ์
“เลโอเดโร!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง สายฟ้านับร้อยเส้นผ่าลงมายังเบื้องล่างในลักษณะพัวพันประหนึ่งตอบสนองต่อการเรียกหา ปกคลุมไปทั่วบริเวณในพริบตา
ไคลน์ไม่มีโอกาสขยับตัวหลบแม้แต่น้อย หรือต่อให้สลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดทันก็ยังไม่พ้นขอบเขตพลังทำลาย
ท่ามกลางแสงสีเงินสว่าง ชายหนุ่มทรุดตัวลงกับพื้นในตำแหน่งเดิม ร่างกายไหม้เกรียมพลางสั่นกระตุกประหนึ่งกลายเป็นถ่านหินก้อนใหญ่
จากนั้นก็ล้มลงและสลายไปราวกับภาพลวงตา
ไคลน์ในเสื้อกันลมและหมวกทรงกึ่งสูง ‘กลับ’ มายังโลกความจริงและเดินถือตะเกียงต่อไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เดินไปได้สักพัก ร่างของมันพร่ามัวและกลับมาคมชัด
ถัดมาเป็นการอ้าปากเปล่งเสียงภาษาคนยักษ์
“เออเมี…”
ยังไม่ทันพูดจบ เปลวไฟสีใสพลันลุกท่วมร่างโดยไม่เปิดโอกาสให้สลับตำแหน่งกับหุ่นเชิด
ไคลน์ปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับดันหมวกทรงสูง เดินไปข้างหน้าอย่างใจเย็นจนกระทั่งถึงเนินเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ประหลาด
“เฮราเบอร์เก้น”
…
“บาร์ดไฮเออร์”
…
“โอมีเบล่า”
…
ไม่มีเหตุการณ์ผิดปรกติเกิดขึ้น หมายความว่าไม่หลงเหลือพลังของพวกท่านในบริเวณใกล้เคียงเมืองเงินพิสุทธิ์…
เมดีซี โอโรเลอุส ซาสเรีย…ไม่เกิดประโยชน์เลยสักชื่อ คงเป็นเพราะพวกท่านไม่ใช่เทพแท้จริง…เราเคยคิดว่าสถานการณ์ในหมู่บ้านยามบ่ายและวังราชาคนยักษ์อาจเป็นกรณีพิเศษ ถ้าเอ่ยนามซาสเรียด้านนอกจะสามารถกระตุ้นพลังเสื่อมทรามภายในดินแดนเทพทอดทิ้งได้ แต่เปล่าเลย…นอกจากนั้น แม้แต่เทวทูตสีชาดที่ปรองดองกับเอกลักษณ์เรียบร้อยและขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะกลายเป็นเทพ ก็ยังไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้บนดินแดนเทพทอดทิ้งแห่งนี้…เสียชื่อราชาเทวทูตชะมัด! ไคลน์ในชุดกันลมสีดำเดินลงเขาพลางอาศัยสัมผัสวิญญาณนำทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จุดหมายคือโบราณสถานเมืองนอร์ธ
บ้างก็เดินอ้อม บ้างก็กระโจนไฟ ไม่ได้ตรงไปตามเส้นทางที่ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์สร้างขึ้น
…
กลางดึกในกรุงเบ็คลันด์
ออเดรย์ซึ่งตระหนักว่าโอสถของตนมีความคืบหน้าเล็กน้อย ใช้พลังท่องฝันเพื่อเดินทางออกจากบ้านและเข้าไปในความฝันบริเวณใกล้เคียง
เมื่อทราบสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างดี เธอปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะรีบเป็นครึ่งเทพ
ทันทีที่เริ่มท่องฝัน หญิงสาวได้พบกับบุคคลที่มีใบหน้าคุ้นเคย
อีกฝ่ายเป็นสตรีขุนนางที่สนิทสนมกับเธอ อายุยี่สิบเก้า แต่งงานกับไวเคาต์เมื่อสองปีก่อน
ในห้องเต็มไปด้วยกลีบกุหลาบ เตียงนอนสีขาวโพลนและมีแหวนรูปหัวใจวางอยู่ จากนั้นก็มีเสียงใครบางคนเคาะหน้าต่าง
หญิงสาวเดินไปเปิดหน้าต่างด้วยแก้มที่แดงระเรื่อ
ชายสวมหน้ากากเหล็กและเสื้อคลุมสีดำโผกอดสตรีพร้อมกับกระซิบ
“ผมจะช่วยให้คุณหลุดพ้นจากความทุกข์”
จากนั้น ร่างทั้งสองกอดก่ายกันอย่างนัวเนียและกลิ้งไปบนเตียง
ในฐานะนักท่องฝันผู้ต้องการย่อยโอสถ ออเดรย์เคยเห็นฉากที่คล้ายคลึงกันมานักต่อนัก เธอหลุดพ้นจากความเขินอายและทำได้เพียงตัดพ้อในจินตนาการสุดบรรเจิดของผู้คน อารมณ์ในปัจจุบันจึงกำลังสุขุมสุดขีด ทำตัวเป็น ‘ผู้ชม’ ละครที่ดีคนหนึ่ง
หลังจากจ้องมองสักพัก หญิงสาวพบปัญหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ