เถาวัลย์เหี่ยวเฉาห้อยปกคลุมอาคารไม้ผุพัง ซากอาคารโดยรอบทั้งหมดเข้าสู่สภาวะถูกแช่แข็งราวกับไม่เคยมีใครเหยียบย่ำเป็นเวลานาน
อัลเจอร์และลูกเรือกลุ่มเล็กเดินวนรอบโบราณสถานท่ามกลางบรรยากาศฤดูหนาวที่แห้งผาก แต่ก็ไม่มีใครพบสิ่งของล้ำค่า
“กัปตัน เคยมีนักผจญภัยหลายกลุ่มมาสำรวจที่นี่ก่อนหน้าพวกเรา แล้วยังจะมีสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีก?” ลูกเรือวัยสามสิบกว่าคนหนึ่งโพล่งขึ้นอย่างหมดความอดทน
เสียงลูกเรือคนอื่นดังขึ้นในทำนองเดียวกัน
“สถานที่ที่เราพบเจอได้ง่ายดาย ไม่มีทางที่คนอื่นจะหาไม่พบ”
“ใช่แล้ว…กลับไปเชือดพวกฟุซัคนั่นดีกว่า!”
“กัปตัน หรือคุณคิดจะใช้ที่นี่เป็นป้อม?”
อัลเจอร์กวาดสายตาไปรอบตัว ใช้สีหน้าทำให้ลูกเรือหยุดบ่นและเชื่อฟัง
ผ่านไปสองสามวินาที มันกล่าว
“ฉันคิดจะใช้ที่นี่เพื่อซุ่มโจมตีชาวฟุซัค…มาลองสำรวจภูมิประเทศกันก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่”
ด้วยข้ออ้างดังกล่าว ลูกเรือกลับมาอยู่ในความสงบทันทีก่อนจะแบ่งกลุ่มเข้าไปสำรวจส่วนลึกของโบราณสถานเอลฟ์
ขณะย่างกราย สัมผัสวิญญาณอัลเจอร์ถูกกระตุ้นโดยไม่รู้ตัว มันรีบมองไปยังด้านหลังต้นไม้ใหญ่
ดินในจุดดังกล่าวมีร่องรอยถูกขุด แถมยังเป็นรอยใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ถึงหนึ่งปี
อัลเจอร์รีบถอนสายตากลับอย่างเป็นธรรมชาติ แสร้งทำเป็นไม่เห็นความผิดปรกติ
หลังจากสำรวจโบราณสถานเสร็จ พวกมันเดินทางกลับค่ายพักใหม่
ปัจจุบันเป็นช่วงใกล้ยามเย็นซึ่งบรรยากาศในป่าค่อนข้างหนาว หลังจากเสร็จมื้ออาหาร อัลเจอร์แบ่งเวรยามชุดละสองคน ส่วนตัวมันเองและคนที่เหลือกลับเข้าไปในนอนในเต็นท์ส่วนตัว
ท่ามกลางสายลมเย็นเยียบและกองไฟไหววูบ อัลเจอร์ซึ่งเตรียมแอบหนีออกจากค่ายในตอนกลางคืนได้ยินเสียงร้องมาจากระยะไกล
เนื้อเสียงฟังดูล่องลอยคล้ายกับสตรีคนหนึ่งกำลังระบายความในใจ
สิ่งนี้ทำให้อัลเจอร์หวนนึกถึงอดีตโดยไม่รู้ตัว นึกถึงมารดาผู้ล่วงลับ และนึกถึงวัยเด็กที่เคยถูกข่มเหงรังแก
ความโศกเศร้าที่ยากจะบรรยายถาโถมเข้ามาในจิตใจอย่างท่วมท้น ส่งผลให้อัลเจอร์ไม่รีบตื่นในทันที แต่เลือกจะนอนฟังเพลงอีกหลายวินาทีก่อนบรรจงพยุงตัวลุกนั่งพลางขมวดคิ้ว
แต่คราวนี้อัลเจอร์กลับไม่ได้ยินเสียงใดเลย บทเพลงดังกล่าวเงียบไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
อัลเจอร์หรี่ตาลง สวมเสื้อนอกตัวหนาและเดินออกมายังกองไฟ
ลูกเรือสองคนซึ่งรับหน้าที่เวรกลางคืน เพิ่งเสร็จการลาดตระเวนและกำลังซึมซับความอุ่นจากกองไฟ
“พบสิ่งผิดปรกติบ้างไหม” อัลเจอร์ถามเสียงหนักแน่น
ลูกเรือที่แข็งแกร่งทั้งสองส่ายหน้าพร้อมเพรียง
“ไม่”
อัลเจอร์เลิกขมวดคิ้วเล็กน้อยและหันหลังกลับ เตรียมเดินออกไปสำรวจด้วยตัวเอง
ทันใดนั้น มันพบบางสิ่งจากหางตา
ลูกเรือทั้งสองคนขยับเข้ามาใกล้มากเกินไป
หากเป็นโจรสลัดทั่วไปคงไม่เป็นปัญหา แต่ลูกเรือเหล่านี้ถูกฝึกฝนจากโบสถ์วายุสลาตันอย่างเข้มงวด ย่อมทราบว่าหลักปฏิบัติในการลาดตระเวนคือห้ามเข้าใกล้กันหรืออยู่ไกลกันมากเกินไป ต้องอยู่ในระยะห่างที่มองเห็นกันได้แต่ไม่ถูกโจมตี ‘กวาด’ รวดเดียวตายเป็นกลุ่ม
อัลเจอร์เดินไปอีกสองก้าวอย่างใจเย็นก่อนจะหันหลังกลับไปมองและถามเป็นกันเอง
“พบสิ่ง ‘ปรกติ’ บ้างไหม”
มันเปลี่ยนคำถาม ส่งผลให้บทสนทนาฟังดูแปลกมาก
ลูกเรือกำยำทั้งสองส่ายหน้าพลางตอบเสียงเรียบ
“ไม่”
ไม่…อัลเจอร์พยักหน้าแผ่วเบาด้วยท่าทีโล่งใจ
“ดี”
มันหันหลังกลับและเดินเข้าไปในเต็นท์อย่างเชื่องช้า
เมื่อลับสายตาลูกเรือ อัลเจอร์ดึงมีดหมื่นพิษและแว่นตาการ์กอยล์ออกมา จากนั้นก็อ้าปากเตรียมเปล่งเสียงร้องเพลง
ทันใดนั้น เสียงเพลงเจือความเศร้าดังขึ้นอีกครั้ง มันทะลวงผ่านโสตประสาทเข้ามายังดวงวิญญาณอัลเจอร์โดยตรง
นี่คือเพลงวิเศษโบราณที่จะขับขานความโศกเศร้าอย่างหาที่สุดมิได้ ส่งผลให้มีท่อนแขนสีซีดงอกออกจากร่างวิญญาณอัลเจอร์และฉีกกระชากร่างกายตัวเองตลอดเวลา
สีหน้าอัลเจอร์พลันบิดเบี้ยว ผิวหนังผุดเกล็ดปลาสีดำด้านปกคลุม เส้นผมสีน้ำเงินที่ยุ่งเหยิงคล้ายสาหร่ายเริ่มหนาและชี้ขึ้น
ความคิดเดิมภายในใจอัลเจอร์ถูกรบกวนด้วยเสียงเพลงและขัดจังหวะด้วยความเจ็บปวด มิอาจก่อตัวให้เป็นรูปร่างคมชัด
อัลเจอร์ล้มลงนอนกระเสือกกระสนบนพื้น ความเป็นมนุษย์ลดน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งใกล้คลุ้มคลั่ง
ทันใดนั้น เสียงเพลงหยุดลงกะทันหัน น้ำเสียงอันเย็นเยียบดังเข้ามาในโสตประสาทอัลเจอร์
“ยังพอมีสายเลือดเอลฟ์อยู่บ้าง…ถ้าอย่างนั้นก็พอแค่นี้…จงใช้ตะกอนพลังของเซียธาสให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
อัลเจอร์ลุกขึ้นเชื่องช้าโดยมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผาก จากนั้นก็พบว่ามีใครบางคนกำลังยืนอยู่ภายในเต็นท์
เป็นสตรีเลอโฉมผมสีดำขลับ ปลายหูเรียวแหลม ดวงตาลุ่มลึก ใบหน้าอ่อนโยน แต่งกายในชุดโบราณเรียบง่าย แม้ส่วนสูงจะไม่มากนัก แต่กลับมอบบรรยากาศน่าเกรงขามและน่าเคารพ
“…ท่านคือราชินีเอลฟ์ ‘ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ’ โคฮีเน็ม ใช่ไหม?” อัลเจอร์ถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ