เดอะฟูล ไคลน์เพียงอืมในลำคอ มิได้ยืนยันหรือปฏิเสธข้อสันนิษฐานของแฮงแมน เพราะตนไม่มีวิธียืนยันว่าอีกฝ่ายคือราชินีแห่งภัยธรรมชาติ โคฮีเน็มจริงหรือไม่ และคงไม่เหมาะหากจะนำเหรียญทองออกมาดีดทำนายต่อหน้าแฮงแมน
แฮงแมน อัลเจอร์รอสักพักจนกระทั่งแน่ใจว่าเดอะฟูลไม่อธิบายเพิ่มเติม มันรีบเล่าลงลึกรายละเอียด เริ่มจากการปรากฏตัวของสตรีที่อ้างตัวว่าเป็นราชินีแห่งภัยธรรมชาติ ต่อด้วยเรื่องที่อีกฝ่ายทักว่าตนมีสายเลือดเอลฟ์อยู่บางส่วน คำสัญญาที่จะช่วยให้เป็นครึ่งเทพ การปรากฏตัวอีกครั้งของทวีปตะวันตก และกุญแจสำคัญของเรื่องราวทั้งหมด
กล่าวจบ อัลเจอร์ปิดปากพร้อมกับก้มศีรษะลงต่ำ ไม่กล้าถามความเห็นของเดอะฟูลโดยตรง เพียงรอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูด
เลือดเอลฟ์บางส่วน…นำบางสิ่งจากหนังสือแห่งภัยธรรมชาติไปยังทวีปตะวันตก…ทวีปตะวันตกอาจปรากฏขึ้นอีกครั้ง…ทวีปตะวันตก…เดอะฟูล ไคลน์ นั่งฟังเงียบงันพลางหลับตาและกล่าวเสียงแผ่ว
“แม้จะอันตราย แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเจ้า”
ไคลน์ในปัจจุบันสามารถระดมพลังของปราสาทต้นกำเนิดได้ทัดเทียมเทวทูตลำดับสอง และราชินีแห่งภัยธรรมชาติโคฮีเน็มก็ไม่น่าจะมีระดับสูงไปกว่านี้ ชายหนุ่มจึงมั่นใจว่าตนสามารถรับมือกับภัยคุกคามจากราชินีเอลฟ์ได้ทุกประเภท
นั่นคือเหตุผลที่มันกล้าพูดว่านี่เป็นโอกาสของแฮงแมน
แต่แน่นอน เงื่อนไขคือแฮงแมนห้ามบุ่มบ่ามหรือประมาทโดยเด็ดขาด ต้องไม่ลืมขอความคุ้มครองจากมิสเตอร์ฟูลอย่างสม่ำเสมอ ไคลน์จึงต้องเน้นย้ำว่าเรื่องนี้อันตรายเพื่อให้แฮงแมนไม่ลืมสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลก่อนลงมือ
ประโยคสั้นดังกล่าวแฝงความนัยไว้สองเรื่อง และไคลน์เชื่อว่าแฮงแมนน่าจะวิเคราะห์ได้
อัลเจอร์เผยความโล่งใจ จากนั้นก็รีบกล่าวสิ่งที่เดอะซันเคยพูด
“ศรัทธาของผมมีเพียงมิสเตอร์ฟูลเท่านั้น!”
คำพูดดังกล่าวทำให้ไคลน์กระอักกระอ่วนเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความเจ็บปวดเมื่อครั้งถูกพายุสายฟ้ากระหน่ำใส่ ทำได้เพียงยิ้มโดยไม่กล่าวคำใด
แฮงแมนครุ่นคิดสักพักก่อนจะถาม
“เรียนมิสเตอร์ฟูล คาถาหรือรหัสผ่านในการเข้าสู่ทวีปตะวันตกคืออะไร?”
ทางนี้เองก็อยากรู้เหมือนกัน…เดอะฟูล ไคลน์ ถอนหายใจเงียบ
“ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าต้องรู้”
“ครับ มิสเตอร์ฟูล” แฮงแมน อัลเจอร์ไม่ถามเพิ่มเติม เพียงก้มศีรษะคำนับนอบน้อม
เมื่อกลับมายังโลกความจริง มันออกจากเต็นท์และพาลูกเรือออกเดินทางทันที ใช้เวลาสักพักกว่าจะถึงโบราณสถานเอลฟ์ในยามรุ่งสาง
ฉากตรงหน้าเหมือนกับที่อัลเจอร์เห็นในความฝันทุกประการ เถาวัลย์เหี่ยวเฉาปกคลุมอาคารไม้ผุพัง บางจุดมีแผ่นป้ายจารึก บรรยากาศเงียบสงัดราวกับไม่เคยมีใครมาเหยียบเป็นเวลานาน
มองไปรอบตัว อัลเจอร์ผุดคำถามใหม่
นั่นก็คือ หากมันกลายเป็นครึ่งเทพโดยอาศัยความช่วยเหลือจากราชินีแห่งภัยธรรมชาติ แล้วจะต้องกลับไปรายงานกับศาสนจักรว่าอย่างไร?
ก่อกบฏและกลายเป็นราชาแห่งท้องทะเลคนที่ห้า? ไม่สิ คนที่หก…แต่หากทำแบบนั้นก็จะยิ่งห่างไกลจากหนังสือแห่งภัยธรรมชาติมากขึ้น เว้นเสียแต่เราจะออกแบบสถานการณ์ให้ทางศาสนจักรนำหนังสือซึ่งน่าจะเป็นสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ออกมาเล่นงานเรา…แต่นั่นเกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะเราแทบไม่มีข้อมูลของหนังสือเลย และอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในลำดับ ‘เจ้าสมุทร’ หรือ ‘ภัยธรรมชาติ’ เสียก่อน…เรื่องนี้สามารถนำไปปรึกษากับเดอะเวิร์ลได้…แต่ถ้าเราต้องการจะอยู่ในศาสนจักรต่อไป ต้องสร้างเหตุผลดีๆ ที่อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ลง…อัลเจอร์ขมวดคิ้วแผ่วเบาโดยไม่สูญเสียความเยือกเย็น
ในสายตาลูกเรือ การแสดงออกของอัลเจอร์หมายถึงความกังวลที่มีต่อโบราณสถาน
ท่ามกลางกระแสความคิด อัลเจอร์ตระหนักถึงบางสิ่ง
ตามเอกสารหลายฉบับของศาสนจักร มีตัวตนระดับสูงบางคนกลายเป็นครึ่งเทพได้จากเหตุไม่คาดฝัน…แม้สองในสามจะถูกกัดกร่อนโดยเทพมารและเสียชีวิตในภายหลังจากกระบวนการชำระล้าง…แต่หนึ่งในสามสามารถเอาตัวรอดมาได้และกลายเป็นอาวุโสใหญ่หรือไม่ก็พระคาร์ดินัล…
ตอนนี้สงครามกำลังปะทุหนัก สถานการณ์ในโลเอ็นกำลังตึงเครียดสุดขีด ตราบใดที่ตรวจสอบแล้วไม่พบปัญหา ทางศาสนจักรคงไม่ถือสาเรื่องที่จะมีครึ่งเทพลำดับสี่ เพิ่มขึ้นสักคนมาให้ใช้เป็นเบี้ยในแนวหน้า…จากนั้นเราค่อยสร้างความไว้วางใจในภายหลัง…
เงื่อนไขของแผนการนี้ก็คือ ราชินีแห่งภัยพิบัติต้องไม่พยายามกัดกร่อนหรือทิ้งตราประทับไว้บนตัวเรา…
พิจารณาจากสมบัติปิดผนึกจำนวนมากที่โบสถ์ถือครอง เราคงต้องสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลล่วงหน้า…จากคำบอกเล่าของมิสจัสติส อ้อมกอดเทวทูตของมิสเตอร์ฟูลสามารถซ่อนความคิดที่แท้จริงได้ในการสอบปากคำ…
ท่ามกลางสถานการณ์ที่สมาชิกชุมนุมทาโรต์ทยอยเลื่อนลำดับเป็นครึ่งเทพหรือใกล้จะเป็น อัลเจอร์ไม่ต้องการกลายเป็นชนชั้นล่างสุดของสังคม เฉกเช่นที่มันเคยดิ้นรนไขว่คว้าหาอำนาจภายในศาสนจักร มันกล้าเสี่ยงเพื่อให้ตัวเองมีอนาคตที่สดใส
เมื่อตัดสินใจหนักแน่น อัลเจอร์นำทางลูกเรือเข้าไปสำรวจภายในซากปรักหักพังตามลำดับที่เคยทำในฝัน
ในครั้งนี้ มันมิได้แบ่งลูกน้องออกเป็นกลุ่มย่อยและแยกกันสำรวจ แง่หนึ่งเพราะกังวลเกี่ยวกับอุบัติเหตุ แต่อีกแง่หนึ่งเพราะต้องการให้ทุกคนเป็น ‘พยาน’ ปากสำคัญ
ผ่านไปสิบห้านาที อัลเจอร์และลูกเรือเดินมาถึงบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ด้านล่างมีร่องรอยดินใหม่
ยังไม่ทันจะได้สำรวจโดยรอบ สายตาของมันพลันพร่ามัวพร้อมกับวิวทิวทัศน์ที่แปรเปลี่ยนเป็นวังปะการัง
เหนือวังมีคลื่นน้ำกระเพื่อมหลายชั้น ภายในวังเต็มไปด้วยเสาหินต้นใหญ่เรียงรายคอยค้ำจุนโดมสูง
อัลเจอร์มองไปรอบตัวและพบว่าลูกเรือด้านข้างหายไปทั้งหมด มันวิเคราะห์ตนคงถูกดึงเข้ามาในภาพลวงตา
สูดลมหายใจเงียบงันสักพัก อัลเจอร์เดินเข้าไปในวังปะการังอย่างไม่รีบร้อน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ