ดวงตาทั้งสองข้างของโบทิสกลายเป็นสีดำสนิท เปี่ยมไปด้วยความตื่นตระหนกที่ยากจะบรรยายจนไคลน์รู้สึกใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับสัมผัสถึงการผันแปรทางอารมณ์ที่เข้มข้นขณะอีกฝ่ายกำลังเสียชีวิต
หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดร่วมกับการใช้พลังทำนาย ไคลน์ยืนยันว่าดวงตาทั้งสองของโบทิสปราศจากตะกอนพลังในตัวเอง แต่ซ่อนจิตตกค้างที่แข็งแกร่งและพลังลึกลับเอาไว้ สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการสาปแช่งหรือสร้างอิทธิพลโดยตรงต่อเป้าหมาย… เป็นวัตถุทางวิญญาณที่มี ‘อายุขัย’ ยาวนานและเต็มไปด้วยอันตราย
พกพาติดตัวนานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้จิตใจอ่อนแอ หรือไม่ก็ฝันร้ายทุกวันจนเกิดการกลายพันธุ์… ไคลน์อัญเชิญกล่องโลหะสี่เหลี่ยมขึ้นมาและนำดวงตาของโบทิสเข้าไปเก็บ
ชายหนุ่มไม่คิดจะทำให้บริสุทธิ์ เพราะเมื่อวัตถุถูกบดขยี้จนมลพิษหายไป พลังวิญญาณจะหายไปด้วย และนั่นถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย
เนื่องจากหนอนดวงดาวไม่มีความผิดปรกติและเป็นวัตถุดิบที่ไคลน์รู้จักดีที่สุดจากบรรดาทั้งหมด มันจึงมองข้ามและหันไปสนใจกระเป๋าสีดำก่อน
ผลของการทำนายทำให้ชายหนุ่มต้องประหลาดใจ เพราะสิ่งนี้ถูกจำแนกให้เป็นวัตถุประเภท ‘ห้วงมิติ’
พิจารณาจากภายนอก กระเป๋าใบนี้ควรจะใส่สิ่งของได้แค่ประมาณฝ่ามือผู้ใหญ่ แต่ในความเป็นจริง ปริมาตรบรรจุของมันกลับเทียบเท่าหอพักสองห้องนอนที่ครอบครัวของโมเร็ตติเคยอาศัยในเมืองทิงเก็น สามารถบรรจุสิ่งของได้มากมาย
นี่คือสิ่งที่โบทิสสร้างขึ้นด้วยพลังจอมเวทลึกลับ ในทางหลักการ ตัวกระเป๋าไม่ใช่คลังเก็บ แต่เป็นทางเข้าและทางออก
…อาศัยพลังของมิติซ่อนเร้นเพื่อบิดเบือนและแบ่งแยกห้วงมิติภายในโลกวิญญาณ จากนั้นก็อาศัยธรรมชาติอันวุ่นวายของโลกวิญญาณเพื่อสร้างการซ้อนทับระหว่างโลกวิญญาณและความจริง… ตราบใดที่ระบุพิกัดได้อย่างถูกต้อง ทุกคนสามารถ ‘เข้าถึง’ ตำแหน่งดังกล่าวได้โดยตรง… ปากกระเป๋าใบนี้เปรียบเสมือน ‘ประตู’ ที่นำพาไปสู่มิติซ่อนเร้น…
วิธีนี้คล้ายกับการปิดผนึกกล่องวันวานมาก ยกเว้นเพียง วิธีหนึ่งจะสร้าง ‘ประตู’ ในโลกวิญญาณ ส่วนอีกวิธีจะสร้างประตูบนโลกความจริง โดยวิธีหลังจะทำให้ผลข้างเคียงด้านลบของสมบัติปิดผนึกและสมบัติวิเศษ ยังคงส่งผลกับผู้พกพา ‘กระเป๋าห้วงมิติ’ …
สำหรับเรา ประโยชน์ใช้สอยของมันไม่ได้มากมายอะไร แถมยังไม่มีวิธีอิทธิพลด้านลบ… เหนือสิ่งอื่นใด เราไม่สามารถเชื่อมต่อกับโลกวิญญาณได้ในดินแดนเทพทอดทิ้ง ส่งผลให้กระเป๋าใบนี้ไร้ประโยชน์โดยสมบูรณ์…
นอกจากนั้นเรายังต้องคอยใช้พลัง ‘มิติซ่อนเร้น’ เป็นระยะ ไม่อย่างนั้นมิติจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา… เหมาะสำหรับครึ่งเทพเส้นทางผู้ฝึกหัด หรือไม่ก็องค์กรที่มีครึ่งเทพเส้นผู้ฝึกหัดคอยบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง…
ชื่อ ‘กระเป๋าห้วงมิติ’ ฟังดูเชยไปหน่อย… แต่เราก็ไม่รู้ว่าโบทิสเคยเรียกมันว่าอะไร… เรียกมันว่า ‘กระเป๋าของนักท่องเที่ยว’ ก็แล้วกัน… หลังจากยืนยันอันตราย ไคลน์เสกมือเทียมเข้าไปในกระเป๋าสีดำ
แกร่ก! อัญมณีจำนวนมากพรั่งพรูออกมาพร้อมกับมือเทียมที่หดกลับ หลังจากร่วงกราวลงบนโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ อัญมณีสีแดง ฟ้า เขียว ขาวอ่อน และดำเข้มพลันส่องประกายระยิบระยับ แสงโปร่งใสสะท้อนจนเต็มการมองเห็นของชายหนุ่ม
…นึกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้… วัตถุดิบที่สอดคล้องกับเส้นทางผู้ฝึกหัดคืออัญมณี… อัญมณีล้วนๆ … ไคลน์เผยรอยยิ้มสดใสพลางถอนหายใจ จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างหยิบอัญมณีขึ้นมาสองสามเม็ดเพื่อชั่งน้ำหนักและพิจารณาวัสดุ
นอกจากนั้นยังมีวัสดุวิญญาณอีกหลายชิ้นใน ‘กระเป๋าสัมภาระของนักท่องเที่ยว’ บ้างเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไป แต่บ้างก็เป็นวัสดุหายาก
กล่องวันวาน ตะกอนพลังจอมเวทลึกลับ แมลงดวงดาว ดวงตาโบทิส กระเป๋าสัมภาระของนักท่องเที่ยว อัญมณีและวัตถุดิบวิญญาณ… ปฏิบัติการคราวนี้มอบผลตอบแทนสูงทีเดียว สามารถแบ่งปันให้ทุกคนอย่างเพียงพอ…
น่าเสียดายที่โบทิสสามารถบันทึกพลังพิเศษได้หลายชนิด ตัวมันจึงแทบไม่ต้องพกพาสมบัติวิเศษ เพราะการทำแบบนั้นจะมีแต่สร้างผลเสียด้านลบให้ร่างกาย… ในฐานะครึ่งเทพ มันควรจะพกพาสมบัติปิดผนึกติดตัวมากกว่านี้อีกสักชิ้นสองชิ้น… ไม่รู้ว่ายังมีซ่อนไว้ในมิติซ่อนเร้นของโลกวิญญาณบ้างไหม หรือไม่ก็ในสำนักงานใหญ่ของชุมนุมแสงเหนือ… น่าเสียดายที่ดวงวิญญาณโบทิสแหลกสลายโดยสมบูรณ์ หมดโอกาสให้เราสื่อวิญญาณเพื่อถามตอบ… ไคลน์ส่ายหน้าก่อนจะส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง มันมองหาจุดซ่อนตัว วางตะเกียงลง จากนั้นก็ประกอบพิธีกรรมสังเวยและรับมอบ
มันอยากทราบว่าตนสามารถนำสมบัติปิดผนึกรหัส 0-61 ‘กล่องวันวาน’ ลงมายังดินแดนเทพทอดทิ้งได้หรือไม่
หากทำได้ ไคลน์จะลองสลับเมืองเงินพิสุทธิ์กับสภาพแวดล้อมภายในกล่องชั้นแรก จากนั้นก็สลับอีกครั้งกับโลกด้านนอกผ่านพิธีกรรมสังเวยและรับมอบบนมิติหมอก ด้วยวิธีนี้ มันจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการบุกฝ่าวังราชาคนยักษ์และห้องบรรทมของซาสเรีย เป็นการเสร็จสิ้นพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์อย่างง่ายดายและชาญฉลาด
หลังจากยุ่งวุ่นวายสักพัก ไคลน์ที่เตรียมการเสร็จเหยียดแขนขวาเพื่อดึงภาพฉายของตัวเองออกมา จากนั้นก็นำร่างต้นวิ่งเข้าไปในหลบช่องว่างประวัติศาสตร์ช่วงก่อนยุคสมัยที่หนึ่ง
มันกังวลว่ากล่องวันวานจะสุ่มสร้างอิทธิพล ‘ตายคาที่’ ทันทีที่ข้ามผ่านประตูแห่งการสังเวยและรับมอบ
ท่ามกลางประกายแสงในทุ่งสายหมอกสีเทา ไคลน์เดินถอยหลังสี่ก้าวและส่งตัวเองกลับเข้าสู่มิติเหนือสายหมอกอีกครั้ง ตอบสนองต่อคำสวดวิงวอนของตัวเอง
หลังจากประตูแห่งการสังเวยและรับมอบก่อตัวเป็นรูปร่าง ชายหนุ่มเปิดมันอย่างเชื่องช้า โบกมือแผ่วเบาเพื่ออัญเชิญกล่องวันวานที่ห่อหุ้มด้วยชั้นพลังงานเข้มข้น จากนั้นก็โยนผ่านประตูมายา ส่งมันไปยังความมืดอันไร้ก้นบึ้งด้านหลังประตู
ทันใดนั้นเอง ความว่างเปล่าภายในความมืดพลันก่อตัวเป็นรูปทรง ประหนึ่งบาเรียล่องหนที่คอยปิดกั้นการผ่านเข้าออก ส่งผลให้กล่องวันวานทำได้เพียงลอยค้างอยู่กลางอากาศ ไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้
ไคลน์ขมวดคิ้วกับฉากตรงหน้า จากนั้นก็พยายามระดมพลังปราสาทต้นกำเนิดและผลักออกไป แต่ก็สุดท้ายล้มเหลวในการช่วยให้กล่องวันวานฝ่าบาเรียล่องหนออกไป
อย่างที่คิด… ดินแดนเทพทอดทิ้งถูกผนึก… เป็นเพราะเราควบคุมปราสาทต้นกำเนิดได้ในระดับหนึ่ง จึงยังตอบสนองบางสิ่งได้ แต่ก็ไม่ใช่กับทุกเรื่อง… ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบาก่อนจะนำกล่องวันวานกลับมาโยนใส่กองขยะ
จากนั้นก็เสกเกอร์มัน·สแปร์โรว์เทียมขึ้นมาสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับกล่องวันวานให้มาดามเฮอร์มิทและมิสจัสติสทราบ
ส่วนหนึ่งเป็นการตักเตือนว่าพวกเธอต้องรีบนำกล่องวันวานกลับไปภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อช่วยเมจิกเชี่ยน ฟอร์ส
นอกจากนั้นไคลน์ยังเตือนมิสจัสติสว่า หากจะประกอบพิธีกรรมรับมอบกล่องวันวานเพื่อช่วยฟอร์ส ให้เธอสังเวยไอศกรีมรสเลิศแก่ ‘ข้ารับใช้’ ของอสรพิษแห่งชะตาเพื่อรับพรโชคลาภเสียก่อน แต่ในกรณีของมาดามเฮอร์มิท เธอไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากอิทธิพลภายนอก เนื่องจากหนึ่งในเวทมนตร์ของเธอมีอำนาจช่วยให้โชคดีได้สักพัก แต่เธอก็ต้องรีบจัดการทุกสิ่งให้เสร็จภายในไม่กี่นาทีและสังเวยกล่องวันวานกลับมายังมิติเหนือสายหมอกอีกครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ