ขณะไคลน์กำลังคิดหาวิธี ฉากหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ
ทะเลหมอกซึ่งอยู่ท่ามกลางยอดเขาสองแห่งเริ่ม ‘เดือดพล่าน’ และแยกออกจากกันจนเผยให้เห็นรอบแยกอันไร้ก้นบึ้ง แสงแดดยามเย็นสีส้มส่องเข้ามาปกคลุมพร้อมกับสร้างทางเดินยาวที่มั่นคง
นี่คือฉากที่ผู้เย้ยเทพ อามุนด์ สร้างขึ้นเพื่อเข้าไปในภาพฉายของวังราชาคนยักษ์
เมื่อไคลน์พิจารณาว่าตนยังเข้าใจพลังดังกล่าวได้ไม่ดีพอและเตรียมเปลี่ยนไปคิดหาวิธีอื่น แสงเจือจางสีแดง น้ำเงิน และเขียวบนหัวอัญมณีพลันสว่างขึ้นเป็นสัญญาณการเริ่มทำงาน
หมอกสีเทาที่เกาะกลุ่มหนาแน่นมานานเริ่มเกิดอาการ ‘เดือด’ ที่ไม่รุนแรงมาก
กลุ่มหมอกแยกออกจากกันเป็นสองฝั่ง แต่ด้านในก็ยังคงเป็นหมอกสีเทาหนาแน่นซึ่งดูคล้ายกับไร้ก้นบึ้ง
ไคลน์ถอนหายใจเงียบ จากนั้นก็ลงมืออีกครั้งเมื่อค้นพบวิธีใหม่
ชายหนุ่มทดสอบเกินกว่าสิบวิธีภายในสามนาที เจ็ดครั้งเป็นความตั้งใจและสามครั้งเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ไม่มีครั้งใดเลยที่สามารถเปิดบาเรียล่องหนสำเร็จ
…นั่นสินะ วิธีทั่วไปคงใช้ไม่ได้… ไคลน์สะบัดข้อมือเพื่อสลายภาพฉายของ 0-62 ที่ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที
มันเอาแต่จ้องสายหมอกโดยไม่ขยับตัวนานกว่าหนึ่งนาที ราวกับค่อยๆ เปลี่ยนสถานะกลายเป็นรูปปั้นหิน
จนในที่สุด ไคลน์หลับตาลงและมองไปทางอื่น จากนั้นก็เดินถือตะเกียงฝ่าความมืดไปหากลุ่มมนุษย์ที่กำลังแอบมองอยู่ไม่ไกล
ชายหนุ่มคำนวณแล้วว่าการสุ่มทดลองส่งเดชคงมีแต่ความล้มเหลว จึงคิดจะสอบถามข้อมูลจากผู้คนที่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงมานานกว่าสองสามพันปีแทน เพราะค่อนข้างแน่ชัดว่ามนุษย์กลุ่มนี้จะต้องเคยสำรวจสายหมอกสีเทามานับครั้งไม่ถ้วน บางทีตนอาจพบเบาะแสหรือได้รับคำใบ้จากประสบการณ์อันยาวนาน
จากการวิเคราะห์ของไคลน์ในตอนแรก มนุษย์กลุ่มดังกล่าวคงไม่เปิดใจเจรจาแต่โดยดี มันจึงคิดวิธี ‘สำแดงพลัง’ เพื่อให้อีกฝ่ายยอมพูดคุยอย่างสันติ แต่กลับต้องผิดคาด เมื่อแสงจากตะเกียงส่องลงบนใบหน้าอีกฝ่าย ไคลน์พบว่ากลุ่มมนุษย์ที่ประสบภาวะพิการรุนแรงต่างอ้าปากค้างพลางจ้องตนด้วยสายตาตกตะลึง สีหน้าเปี่ยมด้วยความสับสนมึนงงและเหม่อลอยอยู่พักใหญ่
ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยท่ามกลางความมืด จากนั้นก็เดินไปทางกลุ่มมนุษย์โบราณผู้รอดชีวิตและหยุดในจุดที่ห่างออกมาสองสามก้าว
“รู้อะไรเกี่ยวกับหมอกพวกนี้บ้าง” ไคลน์ถามเสียงต่ำเป็นภาษาคนยักษ์
ภาษาที่กระตุ้นพลังธรรมชาติชนิดนี้สามารถใช้สื่อสารได้ในทุกภูมิภาค อาจมีความแตกต่างทางสำเนียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะถ้ามีการดัดแปลงภาษามากเกินไป อำนาจในการกระตุ้นพลังธรรมชาติก็จะถูกลดทอนลง
อดาลถูกดึงสติกลับมาหลังจากได้ยินคำถามของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ริมฝีปากของมันสั่นเทาเล็กน้อยขณะพ่นประโยคบอกเล่าโดยไม่ตอบคำถาม
“พ…พวกเรา… ไม่เคยทำให้หมอกเหล่านั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงมาก่อน…”
เมื่อครู่เกอร์มัน·สแปร์โรว์เพิ่งทำให้หมอกเดือดและแยกออกจากกันเป็นสองฝั่ง ฉากดังกล่าวสร้างความหวาดผวาให้พวกมันไม่น้อย บางคนรู้สึกประหนึ่งกำลังรับชมปาฏิหาริย์
ความพยายามกว่าสองสามพันปีของชาวเมืองจันทราไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น เทียบไม่ได้เลยกับความพยายามไม่กี่ร้อยลมหายใจของชายถือไม้เท้า!
นี่คือเหตุผลที่พวกมันไม่แสดงท่าทีต่อต้านขณะเกอร์มัน·สแปร์โรว์ย่างกรายเข้าหา
พวกมันเชื่อโดยสัญชาตญาณว่า ถึงจะพยายามหลบหนีไปก็คงเปล่าประโยชน์
ผ่านไปไม่กี่วินาที ไคลน์ถามต่อ
“มีบันทึกเกี่ยวกับมันบ้างไหม”
อดาลเข้าใจความนัยของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทันที มันออกอาการลังเลสักพักก่อนจะพยักหน้า
“มี… แต่มีเพียงมหานักบวชและคนใกล้ชิดเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าถึงได้บ่อย”
แต่งกายในชุดกันลมสีดำและหมวกทรงกึ่งสูง ไคลน์ตรึกตรองหลายวินาทีก่อนจะเหยียดแขนออกไปหยิบบางสิ่งจากความว่างเปล่า
สิ่งนั้นคือไม้กางเขนทองแดงที่เก่าจนกลายเป็นสีเขียว รายล้อมด้วยหนามแหลมหลายกิ่ง
ภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ของไม้กางเขนเจิดจรัส!
ไคลน์ยกไม้กางเขนขึ้นสูงและส่องไปทางกลุ่มผู้รอดชีวิตโบราณ
แสงสว่างอันเจิดจ้าและบริสุทธิ์พลันสาดส่อง สลายความมืดมิดโดยรอบพร้อมกับอาบร่างพวกมันอย่างท่วมท้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ