ตอน ราชันเร้นลับ 1268 : ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ จาก ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ราชันเร้นลับ 1268 : ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายInternet ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ทันทีที่โอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ไหลเข้าสู่ท้องของไคลน์ ของเหลวก็แตกตัวกลายเป็น ‘หนอน’ เย็นเยียบจำนวนมากทันที แหวกว่ายไปยังทุกส่วนของร่างกาย
ทันใดนั้น ร่างวิญญาณไคลน์ถูกแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนและผสานเข้ากับ ‘หนอนวิญญาณ’ ที่แตกต่างกัน ไม่มีความแตกต่างระหว่างร่างต้นกับร่างรอง ไม่มีการแบ่งแยกว่าใครเป็นร่างหลัก
ผ่านไปถึงจุดหนึ่ง ชายหนุ่มเข้าสู่สายหมอกสีเทา หมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูงและเสื้อกันลมตัวยาวสีดำพลันสลายไป หนอนโปร่งใสและบิดเบี้ยวจำนวนมากทยอยชอนไชออกมาทีละหนึ่ง
หนอนเหล่านี้บินไปยังส่วนลึกของสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ด้วยความเร็วสูง แต่ละตัวเข้าไปยึดครอง ‘จุดแสง’ ที่แตกต่างกันและซ้อนทับกับภาพฉายของตัวเองในช่องว่างประวัติศาสตร์
เพียงไม่กี่วินาที ในตำแหน่งเดิมของไคลน์เหลือแค่เสื้อกันลม เสื้อเชิ้ต หมวกทรงกึ่งสูง ถุงเท้า รองเท้าหนัง และของใช้ส่วนตัวถูกทิ้งไว้โดยปราศจากร่างกายค้ำจุน
“เรา…”
“เราเป็นใคร…”
“ใครคือเรา…”
“เราคือร่างต้น…”
…
หนอนวิญญาณทยอยผุดความคิดที่แตกต่างแต่คล้ายคลึงกัน ไม่มีตัวใดต้องการกลับคืน ‘ร่างเนื้อ’ ด้วยความตั้งใจของตัวเอง มีแต่จะยิ่งทวีความเกลียดชังต่อพวกเดียวกันอย่างรุนแรง หากไม่ใช่เพราะยังมีอิทธิพลทางจิตของไคลน์หลงเหลืออยู่เล็กน้อย พวกมันคงลงมือทำในสิ่งที่สุดโต่ง
ทันใดนั้น ระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นภายในหมอกสีเทา
ระลอกคลื่นดังกล่าวมิได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีอยู่ในสายหมอกนานมาแล้ว ไคลน์อาจไม่เคยสังเกตเห็น แต่สำหรับหนอนวิญญาณ ภาพดังกล่าวชัดเจนเพียงพอ
บางส่วนแผ่ออกจากช่วงเวลาประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบัน บางส่วนมาจากช่วงเวลาสิ้นสุดยุคสมัยที่สอง และบางส่วนมาจากยุคสมัยที่สาม สิ่งเหล่านี้คือสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์กว่าสองพันปีของเมืองเงินพิสุทธิ์ที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงในความมืด
ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมเลือนดังกล่าวสอดประสานเข้ากับปัจจุบันในบางส่วน ช่องว่างทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกันสว่างขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับแผ่ระลอกคลื่นที่ยากจะอธิบาย
คล้ายกับระลอกคลื่นดังกล่าวสร้างแรงดึงดูดที่ทรงพลังต่อหนอนวิญญาณ จนพวกมันต้องทยอยโผล่หัวออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์
หลังจากผ่านไปไม่นาน หนอนวิญญาณตัวหนึ่งกึ่งทนไม่ไหวกึ่งได้รับอิทธิพลจากจิตที่หลงเหลือของไคลน์ รีบคลานออกจากจุดแสงที่มันเข้าไปยึดครองในตอนแรก จากนั้นก็ ‘บิน’ ไปยังกึ่งกลางระลอกคลื่น
ถัดมาไม่นาน หนอนวิญญาณทยอยกลับมาจากจุดต่างๆ บนสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ ตรงมายังประกายแสงที่ก่อขึ้นท่ามกลางประวัติศาสตร์ของเมืองเงินพิสุทธิ์ในยุคสมัยปัจจุบัน
เมื่อพวกมันเข้าใกล้กันในระยะหนึ่ง แรงดึงดูดที่ทรงพลังพลันก่อตัว กระชากหนอนวิญญาณจำนวนมากให้กลับมารวมตัวและผสานเป็นหนึ่ง
นี่ไม่ใช่อิทธิพลที่หนอนวิญญาณเพียงสองหรือสามตัวจะทำได้ จะต้องใช้จำนวนมากเพียงพอจึงจะเกิดขึ้น
และเมื่อหนอนวิญญาณบางส่วนประกอบเข้าด้วยกัน จิตใต้สำนึกที่ไม่สมบูรณ์ของไคลน์เริ่มกลับมาปะติดปะต่อ จนกระทั่งกระบวนการดำเนินไปในทิศทางที่เรียบง่าย
หนอนวิญญาณเหล่านั้นก่อตัวเป็นวังวนโปร่งใสที่แผ่แรงดึงดูดอันทรงพลังออกมา ดูดกลืนหนอนวิญญาณที่เหลือซึ่งยังลังเลและไม่เต็มใจที่จะกลับมายังรวมตัว
เมื่อหนอนวิญญาณกลับมารวมตัวมากกว่าสองในสาม หนวดรยางค์เรียบโปร่งใสทยอยงอกขึ้นภายในวังวน
หนวดรยางค์ยืดยาวออกไปยังยุคสมัยที่สอง ยุคที่หนึ่ง และแม้แต่เมืองโบราณในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ทยอยจับหนอนวิญญาณกลับมาทีละตัวและใส่กลับเข้าไปในวังวน
ภายในเวลาเพียงสิบวินาที วังวนเริ่มขยายใหญ่และกลายเป็นร่างหนึ่งซึ่งน่าสยดสยองและรายล้อมไปด้วยหนอนโปร่งใสบิดเบี้ยว หนวดรยางค์ล่องหนยื่นยาวออกจากร่างดังกล่าว
หนวดรยางค์ทยอยนำเสื้อกันลม หมวกทรงกึ่งสูง ถุงเท้า และรองเท้าหนังที่ลอยอยู่ในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์กลับมา ‘สวมใส่’ ลงบนร่างอันน่าสะพรึง
ร่างที่ประกอบจากหนอนวิญญาณจำนวนมากกดหมวกทรงกึ่งสูงบนศีรษะลง ส่งผลให้ความโปร่งใสบนร่างกายจางหายไปอย่างรวดเร็ว ผิวกายสีเนื้อแผ่ปกคลุมไปยังทุกส่วน ผมสั้นสีดำและดวงตาสีน้ำตาลทยอยงอกเงย
นี่คือรูปลักษณ์ของไคลน์·โมเร็ตติ แต่เป็นในความสูง 1.8 เมตร
หลังจากได้รับสติสัมปชัญญะกลับมาอีกครั้ง ไคลน์ที่รวบรวมร่างวิญญาณกลับมาอย่างสมบูรณ์ ยังไม่มีเวลาตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันของตนอย่างละเอียด เพียงค้นพบความผิดปรกติสองเรื่องได้ในทันที:
เรื่องแรก ตะกอนพลังพิเศษที่ผสานเข้ากับร่างกายชายหนุ่มเต็มไปด้วย ‘จิต’ อันทรงพลัง น่าสะพรึง แกร่งกล้า และยากจะต้านทาน คล้ายกับมันตื่นขึ้นมาเล็กน้อยและทยอยฉายภาพทีละหนึ่ง บางส่วนเกี่ยวกับความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ บางส่วนเกี่ยวกับฝุ่นที่ถูกดวงอาทิตย์แผดเผา และบางส่วนเป็นฉากวิจิตรงดงามที่เกิดจากดวงดาวมากมาย ทั้งหมดคือตราประทับทางวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยความโดดเดี่ยว เฉยเมย โหดร้าย บ้าคลั่ง เหยียดหยัน และไร้อารมณ์ พวกมันผสานเข้ากับดวงวิญญาณไคลน์อย่างรวดเร็วและเปลี่ยนสถานภาพของไคลน์โดยที่มิอาจต่อต้าน
ส่วนคำถามที่ว่า เหตุใดไคลน์ถึงคิดหาคำตอบได้รวดเร็วนัก ทั้งที่เทพจารีตถึงใช้เวลาราวหนึ่งถึงสองยุคสมัยกว่าจะกระจ่าง เหตุผลมีอยู่สองข้อ
ข้อแรก มันเปรียบเทียบภาพในอดีตของเทพจารีตกับสถานะปัจจุบัน โดยใช้ไดอารีจักรพรรดิโรซายล์เป็นข้อมูลอ้างอิง และอาศัยความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับเป็นแรงบันดาลใจ ข้อที่สอง ร่างสัตว์ในตำนานของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์มีความโน้มเอียงไปในทางแยกตัวออกจากกัน ส่งผลให้ไคลน์ไวต่ออิทธิพลที่คล้ายคลึงกัน
ความสมดุลที่เกิดขึ้นมักขาดความเสถียร มันจะเบี่ยงเบนไปในระดับหนึ่งเสมอ และนั่นจะทำให้สถานภาพของเราขาดความมั่นคงจนอาจทำให้ผู้คนหวาดกลัวเป็นครั้งคราว โชคดีที่สิ่งนี้สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าและรับมือได้ง่าย… นอกจากนั้น ขณะอยู่ในสภาวะสมดุลโดยสมบูรณ์ เราต้องแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ให้มากที่สุดเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในตัวเอง… นี่คงเป็นวิธีที่เทวทูตส่วนใหญ่เลือกปฏิบัติ และพฤติกรรมของโรงเรียนกุหลาบฝ่ายฝักใฝ่แรงกระหายก็คงอยู่ในหมวดหมู่นี้…
แต่สาวกทั้งหมดของอามุนด์คือตัวเอง แล้วเขารักษาสมดุลได้ยังไง?
หรือว่าสัตว์ในตำนานที่เกิดมาพร้อมกับ ‘เอกลักษณ์’ จะผสานจิตใต้สำนึกเข้ากับมหาต้นกำเนิดได้ตั้งแต่แรก? อามุนด์ก็เลยคุ้นเคยกับสภาวะกึ่งเสียสติมานานแล้ว? ไม่สิ สำหรับอามุนด์แล้วนี่คือสภาวะปรกติ… ส่วนภาพลักษณ์ก็เกิดจากการลงคะแนนของบรรดาร่างโคลน…
หากอ้างอิงจากหลักการดังกล่าว เราก็สามารถสร้างหุ่นเชิดขึ้นมาเป็นสาวกของเดอะฟูลได้เช่นกัน โดยใช้รูปลักษณ์ที่แท้จริงของเราเป็นตัวแทนทวยเทพ วิธีนี้จะช่วยสร้างหลักยึดเหนี่ยวที่มีประสิทธิภาพ… เข้าใจแล้วว่าทำไมซาราธและหมาป่าอสูรทมิฬถึงอยู่ได้โดยไม่มีสาวก… อา เมื่อชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เปลี่ยนมานับถือเดอะฟูล เราสามารถแยกอวตาร ‘เทพสมุทร’ ออกจากตัวเองเพื่อทำให้หลักยึดเหนี่ยวนี้เป็นอิสระ เพราะภาพจำของสาวกเทพสมุทรขัดแย้งกับภาพจำของสาวกจากแหล่งอื่นมาก ไม่สามารถนำมารวมกันได้… ไคลน์ครุ่นคิดในหลายสิ่ง จากนั้นก็ส่งตัวเองขึ้นไปยังหมอกสีเทา
เมื่อกลายเป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ ไคลน์ได้เป็นเจ้าของปราสาทต้นกำเนิดโดยสมบูรณ์ จึงไม่จำเป็นต้องเดินถอยหลังสี่ก้าวพลางท่องมนต์ หรือขอร้องให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์สวดวิงวอนพร้อมกันล่วงหน้า เพียงแค่คิดก็กลับปราสาทต้นกำเนิดได้ง่ายดาย
แต่ดูเหมือนว่าปัจจุบันยังมิอาจระดมพลังของปราสาทต้นกำเนิดได้เต็มประสิทธิภาพนัก และร่างที่เข้ามาบนสายหมอกก็ยังคงจำกัดแค่ร่างวิญญาณ มิอาจส่งร่างเนื้อขึ้นมาได้โดยตรง
หลังจากนั่งในตำแหน่งเดอะฟูล ไคลน์ไม่รีบร้อนตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของปราสาทต้นกำเนิด ก่อนอื่นก็สำรวจพัฒนาการของตัวเองและย่อยข้อมูลเกี่ยวกับโอสถที่เพิ่งได้รับ:
อา… พลังพิเศษของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์มาจากสองคุณสมบัติ หนึ่งคือการยกระดับพลังจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ และอีกหนึ่งคือพลังที่เพิ่มเข้ามาใหม่อย่าง ‘พลังปรารถนา’
พลังที่เกี่ยวกับสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ครอบคลุมไปถึงความสามารถใหม่หลายชนิด:
ชนิดแรก คืนชีพด้วยความช่วยเหลือจากหนอนวิญญาณในอดีต แต่พลังชนิดจะใช้งานได้เพียงสี่ครั้ง และเราใช้ไปแล้วสาม… หมายความว่าในลำดับผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ เราคืนชีพได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่หลังจากเลื่อนระดับเป็นบริวารเร้นลับ จำนวนครั้งน่าจะเพิ่มขึ้น… ชนิดที่สอง เราสามารถสร้างอิทธิพลบางอย่างกับอนาคต ทำให้ความน่าจะเป็นของบางสิ่งเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระดับหนึ่ง เทียบเท่ากับการแทรกแซงชะตากรรมเป้าหมาย… หึหึ ในที่สุดก็ได้ครอง ‘พลังโชคลาภ’ จริงๆ เสียที แต่ยังเทียบไม่ได้กับลูกเต๋าความน่าจะเป็นของวิล… ชนิดที่สาม สิ่งที่อัญเชิญออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์จะไม่จำกัดแค่วัตถุอีกต่อไป แต่เราสามารถนำ ‘ฉาก’ ที่คุ้นเคยออกมาได้ด้วย..
อา… จำนวนสูงสุดของภาพฉายวัตถุและฉากที่เราเรียกออกมาได้คือเก้า แต่ภาพฉายที่มีระดับทัดเทียมเทวทูตห้ามเกินสาม…
‘พลังปรารถนา’ เป็นอำนาจพื้นฐานของทวยเทพอยู่แล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่แปลก ความปรารถนาของเราจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อเราเติมเต็มความปรารถนาของผู้อื่นก่อนเท่านั้น… และจำเป็นต้องทำความปรารถนาเล็กให้สำเร็จก่อน จึงจะมีโอกาสบรรลุความปรารถนาที่ใหญ่ขึ้น…
……………………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ