เมืองเบลดัน ภายในผับแห่งหนึ่ง
รอย ไบลส์ ฟิล และพาชา กำลังนั่งรอบโต๊ะกลมตัวเล็กพลางจิบเบียร์นันวีลล์
พวกมันไม่ได้พูดคุยกันมากนัก ทำเพียงนั่งฟังขี้เมาโต๊ะข้างๆ ถกเถียงเกี่ยวกับพลังพิเศษและเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ
“ก่อนหน้านี้ สะอึก! ฉันเห็นเต็มสองตา ไอ้พวกฟุซัคไม่เพียงจะตัวเท่าหมี แต่ยังเสกเปลวไฟออกมาขว้างเหมือนหอกได้ด้วย!”
“บ้าน่า… พลังพิเศษมีจริงงั้นหรือ”
“ฮะฮะ! นั่นเพราะนายยังอ่อนต่อโลกยังไงล่ะ มีวันหนึ่งที่ฉันเมาหลับใกล้กับสุสาน ฉันเห็นคนจากโบสถ์รัตติกาลปรากฏตัวออกมาพร้อมกับผี ใช่แล้ว ผี! พวกมันลอยอยู่กลางอากาศ… น่ากลัวฉิบ!”
…
ไม่มีใครทราบว่าขี้เมาเหล่านี้เล่าเรื่องจากประสบการณ์ตรงหรือเคยฟังมา แต่ลีลาการเล่าเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศปลุกเร้า ละอองน้ำลายกระเด็นไปทุกสารทิศ ใบหน้าแดงก่ำ
“พวกเขาก็เป็นแบบนี้ตลอด พอได้ดื่มก็เริ่มตื่นเต้น ชอบคุยโวโอ้อวดทั้งที่ชีวิตตัวเองจมอยู่กับความทุกข์เป็นส่วนมาก” ไบลส์ซึ่งเป็นคนท้องถิ่นของเบลดันอธิบาย “นับตั้งแต่แหล่งถ่านหินในเมืองเริ่มหมดลง คนหนุ่มสาวก็ทยอยออกจากเบลดันและมุ่งหน้าไปยังคอนสแตนหรือไม่ก็เบ็คลันด์ บรรยากาศของเมืองนี้เริ่มถดถอยและยิ่งทวีความรกร้างลงเรื่อยๆ”
บุรุษผู้มีอายุยังไม่ถึงสามสิบรายนี้เคยทำงานเป็นคนงานเหมืองตั้งแต่ยังเด็ก แม้จะโชคดีที่ไม่ตายในเหมือง แต่ผิวพรรณก็คล้ำขึ้นมาก
กล้ามเนื้อของมันมิได้กำยำใหญ่โต แต่มอบความรู้สึกแข็งเหมือนเหล็กกล้า
รอยซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม ยิ้มและกล่าว
“สิ่งที่พวกเขาพูดอาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ ไม่ใช่แค่การคุยโม้ สงครามที่เพิ่งจบลงไปได้ทำให้สาธารณชนตระหนักถึงพลังพิเศษมากขึ้น โดยเฉพาะกับเหล่าทหารที่เข้าร่วมโดยตรง ตราบใดที่รอดชีวิตกลับมาได้ พวกเขาก็จะนำประสบการณ์มาเล่าต่อ… ในทำนองเดียวกัน สงครามก็ยังเป็นโอกาสพลิกชีวิตของใครหลายคน คนทั่วไปซึ่งไม่มีทางรู้จักกับพลังพิเศษ ก็ได้กลายเป็นผู้วิเศษเพราะสงคราม”
วิธีการเล่าฟังดูห่างเหินและไกลตัว ราวกับกำลังพูดถึงเรื่องของคนอื่น แต่ความจริงแล้วเป็นประสบการณ์ตรงของพวกมันทั้งสี่
ไบลส์และรอยเป็นทหารที่เข้าร่วมในสงครามปิดล้อมเมืองเบลดันมาก่อน ฟิลเคยถูกกองทัพฟุซัคปล้นทรัพย์สิน แต่โชคดีที่รอดมาได้ พาชาและอดีตเพื่อนร่วมชาติของเธอเข้าร่วมการต่อสู้แบบกองโจร ล่อลวงทหารอินทิสกลุ่มหนึ่งเข้ามาซุ่มโจมตี
พวกมันได้เห็นการตายของพวกพ้องมากมายและมีโอกาสครอบครองพลังพิเศษด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป
ในภายหลัง อาศัยความโกลาหลที่เกิดจากสงคราม พวกมันถอนตัวออกจากหน่วยของตัวเองหรือไม่ก็แอบหนีออกมาโดยที่ทางการไม่ทราบ จากนั้นก็ค่อยๆ ทำความรู้จักกันและเป็นเพื่อนที่มีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน
ปัจจุบัน พวกมันเดินทางมายังเบลดันซึ่งเป็นเมืองของรอยและไบลส์เพื่อตามหาญาติสนิทและพวกพ้องที่อาจยังมีชีวิตรอด
“ความเป็นจริงของโลกช่างอยู่เหนือจินตนาการไปไกล” พาชาเจ้าของผมยาวสีทองเข้มและดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ถอนหายใจอย่างมีอารมณ์
เธอมีอายุเพียงสิบ หน้าตาค่อนข้างดี แต่ใบหน้ากลับซูบผอมจนแทบไม่มีเนื้อส่วนเกิน โหนกแก้มนูนยืนเด่นชัด ทำให้ดูหน้าแก่กว่าอายุจริงพอสมควร
“ในอนาคต พวกเราคงมีชีวิตที่ต่างออกไป” รอยผู้มีรูปลักษณ์ตามแบบฉบับบุรุษชาวโลเอ็น ยกแก้วขึ้นและกล่าว “แด่อนาคตใหม่ที่สดใส…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ใครบางคนในผับแหกปากกรีดร้อง
รอยและคนที่เหลือซึ่งมีประสบการณ์โชกโชน รีบตื่นตัวและหันไปมองที่ต้นเสียง
พวกมันเห็นชายหนุ่มในเสื้อผ้าธรรมดากำลังนอนเกลือกกลิ้งบนพื้น สีหน้าคล้ายกับเจ็บปวดเหนือพรรณนา
ภายใต้แสงจากโคมไฟผนังสีเหลืองจาง ทุกคนพบว่ากลางแผ่นหลังของชายหนุ่ม เสื้อผ้ามีรอยฉีกขาดเป็นทางยาวพร้อมกับเลือดที่ไหลซึม ประหนึ่งถูกฟาดด้วยแส้หนังก็มิปาน
อย่างไรก็ดี ไม่มีใครในบริเวณใกล้เคียงที่กำลังถือแส้ และท่าทางการกรีดร้องของเหยื่อก็ดูเหมือนจะถูกเฆี่ยนมาแล้วหลายสิบครั้ง
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมถึงไม่มีใครเห็นเหตุการณ์?
“…เขากำลังถือกระเป๋าสตางค์ในมือ… จะเกี่ยวข้องกับความผิดปรกติที่เกิดขึ้นไหม?” ฟิลร่างผอมชำเลืองเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยสีหน้าใคร่ครวญ “ฉันเข้าไปดูดีไหม?”
รอยไตร่ตรองสักพักก่อนจะพยักหน้า
“ระวังตัวด้วย”
ฟิลอืมในลำคอก่อนจะเดินออกจากโต๊ะกลมตัวเล็ก อาศัยความช่วยเหลือจากฝูงชน มันแหวกผ่านเข้าไปใกล้ชายหนุ่มที่ปัจจุบันหยุดเกลือกกลิ้งแต่ยังคงส่งเสียงร้องครวญคราง
ฟิลเหยียดแขนซ้ายอย่างเงียบงัน เป้าหมายคือกระเป๋าสตางค์ที่ดูธรรมดา
“อ๊าก!”
ฟิลแหกปากกะทันหัน มันจ้องมือซ้ายของตนที่ถูกตัดขาดและหล่นลงไปบนพื้น
บริเวณปากแผล เลือดสีแดงพวยพุ่งไปทุกทิศทาง กระเด็นใส่คนรอบข้างในรัศมี
ทุกสิ่งภายในผับหยุดนิ่งทันที บรรดาขี้เมาตกตะลึงในตอนต้นก่อนจะกลืนน้ำลายและหันหลังกลับ รีบเผ่นไปทางประตูหรือมุมห้องสุดชีวิต!
“แปลกมาก… ฉันไม่ได้ถูกใครโจมตี!” ฟิลที่ใกล้จะหมดสติเพราะความเจ็บปวด ยังคงกัดฟันบอกเล่าประสบการณ์ของตนแก่รอย ไบลส์ และพาชา
รอยหรี่ตาลงและออกคำสั่งเสียงเข้ม
“พวกเราหนีออกจากที่นี่กันก่อน!”
จากนั้น มันหันหน้าไปพูดกับไบลส์
“เก็บมือของฟิลขึ้นมาและถนอมเอาไว้ ฉันจำได้ว่าหมอทหารที่เคยพบเป็นชาวเบลดัน หลังออกจากกองทัพ เขากลับมาเปิดคลินิกเอกชนที่นี่… ข…เขารักษาบาดแผลระดับนี้ได้แน่”
หมอทหารที่ชื่อเวเบอร์เองก็เป็นผู้วิเศษ หลังจากเข้าร่วมสงครามภาคใต้ มันค่อยๆ เลื่อนลำดับทีละนิดจนกระทั่งมีฝีมือทางการแพทย์ก้าวข้ามความเป็นจริง กล่าวกันว่าสามารถเย็บแขนขาที่ถูกตัดขาดให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เหมือนเดิมได้
“ตกลง” ไบลส์ขานรับโดยไม่ลังเล
มันก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย หยิบกล่องไม้ออกมา หยิบมือที่ขาดของฟิลบรรจุเข้าไป
ขณะเดียวกัน พาชาใช้ขี้ผึ้งวิเศษที่เธอซื้อเตรียมไว้ ทาลงบนแผลที่แขนฟิลเพื่อห้ามเลือดและพันผ้าทับ
จากนั้นคนทั้งสี่ก็ออกจากผับ
หลังจากสอบถามคนเดินถนนอยู่สักพัก ในที่สุดพวกมันก็พบเวเบอร์คลินิก
คลินิกยังไม่เปิด แต่แสงไฟจากภายในสว่างขึ้นด้วยสีเหลืองจาง
รอยดึงกริ่งประตูอย่างสุภาพ จากนั้นก็ได้ยินเสียงสะท้อนดังมาจากภายใน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ