บนรถไฟไอน้ำที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองคอนสแตนแห่งแคว้นเลียบทะเล
ไคลน์ที่แต่งกายในชุดนักมายากลพเนจร มองไปยังชายหนุ่มและพ่อแม่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะแคบซึ่งมีสิ่งของวางอยู่มากมาย
“ผมมีมายากลสองประเภท แบบแรกจะช่วยเติมเต็มความปรารถนาของพวกคุณ และแบบที่สองคือการใช้กระจกตอบคำถาม แน่นอนว่ามายากลแบบแรกต้องมีค่าตอบแทน และสำหรับมายากลแบบที่สอง พวกคุณต้องตอบคำถามที่กระจกตั้งขึ้น… ต้องการรับชมกลแบบใด?”
ชายหนุ่มเจ้าของผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล ดูคล้ายกับได้รับการศึกษาที่ดี มองไปยังพ่อแม่ที่นั่งอยู่ด้านข้างพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ความปรารถนาของผมยากเกินไป จึงไม่ขอรบกวนคุณ… เมื่อเทียบกันแล้ว ผมอยากเห็นกระจกที่สามารถตอบคำถามมากกว่า”
ไคลน์ถอนหายใจพลางส่ายหน้า พลิกมือซ้ายขึ้น เผยให้เห็นกระจกเงาสีเงินที่มีอัญมณีสีดำประดับอยู่ทั้งสองฝั่ง
“ของโบราณสินะครับ” ชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามแสดงความเห็นด้วยสีหน้าสนใจ จากนั้นก็กล่าว “คำถามของผมก็คือ ในเที่ยวนี้ จุดประสงค์ในการเดินทางไปยังคอนสแตนของผมคืออะไร”
ไคลน์ที่เผยรอยยิ้มตามแบบฉบับนักมายากลข้างถนน เหยียดมือขวาออกมาลูบไล้ผิวกระจก ตามด้วยกระซิบกระซาบเสียงขรึม
“กระจกวิเศษเอ๋ย จงบอกข้าเถิด คำตอบของคำถามเมื่อครู่คืออะไร”
หลังจากทำสามครั้งติดต่อ ไคลน์ปล่อยมือขวาเพื่อเผยผิวกระจกต่อหน้าผู้โดยสารทั้งสามที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ที่นั่นมีตัวอักษรสีเงินเขียนอยู่ไม่มาก
“สมรส”
“…สุดยอด” ชายหนุ่มและพ่อแม่ต่างมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อสายตา
หลังจากขึ้นมาบนรถไฟ พวกมันไม่เคยสนทนาในหัวข้อเกี่ยวกับการแต่งงาน และไม่ได้เผยร่องรอยใดที่น่าจะเชื่อมโยงได้
นี่คือครั้งแรกที่พวกมันได้เห็นมายากลประเภทที่ไม่พึ่งพาอุปกรณ์หรือผู้ชมเก๊
“เอาล่ะ ตากระจกถามบ้าง” ไคลน์ยิ้มพร้อมกับนำมือขวาปิดกระจก
“ตกลง” ชายหนุ่มตอบรับด้วยความสนใจ
“มาดูกันว่ากระจกวิเศษต้องการถามสิ่งใด” ไคลน์ปล่อยมือขวาอย่างมีชั้นเชิงประหนึ่งกำลังแสดงมายากลบนเวทีใหญ่
อักษรสีเงินบนผิดกระจกได้แปรสภาพกลายเป็นประโยคที่สมบูรณ์
“คุณอยากให้เจ้าสาวเป็นสตรีที่มีอายุมากกว่าสี่สิบใช่ไหม?”
สีหน้าชายหนุ่มผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะขาวซีดและเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง!” มันรีบโต้แย้ง อดไม่ได้ที่จะหันไปทางพ่อแม่ด้านข้างและบ่นอย่างหัวเสีย “นี่มันคำถามบ้าอะไร”
“…มันแค่ล้อเล่นน่ะ” ไคลน์ยิ้มอย่างรู้สึกผิดก่อนจะรีบกดมือขวาลงบนกระจก ประหนึ่งตนก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
จากนั้นก็ปล่อยมือขวาอีกครั้ง
ข้อความบนผิวกระจกเปลี่ยนไปอีกครั้ง
“คุณอายุเท่าไร”
“ยี่สิบห้า…” ชายหนุ่มตอบด้วยความระมัดระวังประหนึ่งกังวลว่าจะตกหลุมพราง
มันสัมผัสได้ว่าสายตาจากพ่อแม่และผู้โดยสารรอบข้างเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เอาล่ะ การแสดงกลจบลงเพียงเท่านี้” ไคลน์ยิ้มพลางเก็บกระจก “จะลองมายากลอีกแบบก็ได้นะ”
ทันทีที่สิ้นเสียง หวูดของหัวรถจักรไอน้ำพลันส่งเสียงคำราม เป็นสัญญาณว่ารถไฟใกล้ถึงสถานี
“ต้องขอโทษด้วย แต่ผมต้องไปแล้ว” ไคลน์หยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาตรวจสอบเวลา
มันหยิบสัมภาระขึ้นและเดินตามฝูงชนลงไปจากขบวนรถไฟ จนกระทั่งมาถึงชานชาลาที่โคมไฟแก๊สยังไม่ถูกเปิด
ที่นี่คือเมืองเบลดันแห่งแคว้นเลียบทะเล เป็นเมืองที่ทั้งเจริญก้าวหน้าและเสื่อมถอยจากอิทธิพลของเหมืองถ่านหิน
สำหรับไคลน์ ความสำคัญอันดับหนึ่งของเมืองนี้คือ การที่มันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในเส้นทางการบุกของกองทัพฟุซัคในสงครามล่าสุด
ฟุซัคบุกเข้ามาทั้งสิ้นสามเส้นทาง หนึ่งคือการโจมตีชายแดนฝั่งเทือกเขาอมานด้า พยายามตีฝ่าแนวป้องกันทางบกที่นั่น สองคือการโจมตีจากเกาะโซเนีย เน้นทำลายท่าเรือชายฝั่งและยกพลขึ้นบก และสามคือการบุกมาตามแนวรางรถไฟสายหลักสู่กรุงเบ็คลันด์
จากบรรดาทั้งสามเส้นทาง เนื่องจากทางทะเลมีโบสถ์วายุสลาตันและพลังอำนาจจากเรือรบหุ้มเกราะที่ผสานเข้ากับ ‘ผู้ตัดสิน’ ระดับสูงคอยคุมเชิง กองทัพเรือของฟุซัคและเฟเนพ็อตจึงมิอาจคว้าผลลัพธ์ที่ตนต้องการไว้ได้ ไม่แม้กระทั่งจะถือครองความได้เปรียบทางทะเล ส่วนสมรภูมิเทือกเขาอมานด้าซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่โบสถ์รัตติกาล แนวรบที่นี่สามารถต้านทานการโหมบุกจากศัตรูได้อย่างเหนียวแน่นจนกระทั่งสงครามจบลง ปิดกั้นการรุกรานเข้าไปในแคว้นเหมันต์และเชสเตอร์ตะวันออกจนแทบไม่ได้รับผลกระทบจากสงคราม
จากบรรดาทั้งหมด เส้นทางเดียวที่ประสบความสำเร็จคือการนำกองทัพบุกแคว้นเลียบทะเล พวกมันอาศัยความร่วมมือระหว่างกองทัพบกและกองทัพเรือในการส่งกำลังพลเข้ามายึดครองเมืองใหญ่อันดับสองของอาณาจักรโลเอ็นอย่างคอนสแตน เมืองหลวงแห่งแคว้นเลียบทะเล จากนั้นก็มุ่งหน้าลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้เพื่อบรรจบกับกองทัพอินทิสที่กำลังโจมตีเบ็คลันด์
การที่ไคลน์เลือกสวมบทบาทเป็นนักมายากลพเนจร ในแง่หนึ่ง มันต้องการสั่งสมความปรารถนา สร้างปาฏิหาริย์ ย่อยโอสถ และเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง ในอีกแง่หนึ่ง มันประสงค์ที่จะกลับมายังเขตสงครามเพื่อใช้ตา หู และหัวใจในการสัมผัสความบอบช้ำของสงครามด้วยตัวเอง
เมื่อล่วงรู้ความลับเกี่ยวกับอวกาศและใต้ดิน ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจแผนการภาพรวมของเทพธิดารัตติกาลและทำใจยอมรับในระดับหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าตนจะไม่แยแสเหล่าผู้ที่สูญเสียเลย
ในเวลาเดียวกัน มันยืนยันได้หนึ่งสิ่ง นั่นก็คือ หากตนล้มเหลวในการทำลายพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืดของจอร์จที่สาม สงครามโลกจะยังไม่สิ้นสุดลงในปัจจุบัน เพียงแต่โลเอ็นจะถือครองความได้เปรียบอย่างมาก โดยที่เทพธิดารัตติกาลกับพันธมิตรจะค่อยๆ สร้างแรงกดดันให้เทพสงครามจนกระทั่งอีกฝ่ายต้องขอความช่วยเหลือจากพระแม่ธรณี
เมื่อถึงตอนนั้น ไม่ว่าจะปริมาณ ความรุนแรง หรือขนาด ศึกระหว่างทวยเทพจะรุนแรงชนิดที่การต่อสู้ที่ผ่านมาเทียบไม่ติด
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา ไคลน์จึงตัดสินใจย้อนเกล็ดเส้นทางการบุกของฟุซัคโดยแวะระหว่างทางเป็นครั้งคราว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ