หลังจากรักษาสมดุลอันเปราะบางระหว่างหลักยึดเหนี่ยว ราชันสวรรค์ฟ้าดิน และจิตใต้สำนึกของตัวเองจนมีเสถียรภาพ ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้พลางตรวจสอบพลังพิเศษใหม่ซึ่งเพิ่มขึ้นหลังจากกลายเป็นบริวารเร้นลับ
จากบรรดาทั้งหมด มีพลังสามชนิดที่โดดเด่นที่สุด เป็นสิ่งที่ไคลน์เชี่ยวชาญการใช้งานผ่านปราสาทต้นกำเนิดและ ‘ม่าน’ มาก่อนแล้ว เพียงแต่ไม่เคยทราบชื่อที่ถูกต้อง:
ชนิดแรกคือพลัง ‘กำเนิดใหม่’ หากส่วนประกอบของวัตถุเป้าหมายเคยมีด้ายวิญญาณ บริวารเร้นลับสามารถใช้พลัง ‘กำเนิดใหม่’ เพื่อเรียกด้ายวิญญาณกลับมาอีกครั้ง และเปลี่ยนให้วัตถุดังกล่าวกลายเป็นหุ่นเชิดพร้อมกับสร้างสายสัมพันธ์อันลึกซึ้ง
สรุปโดยสั้น บริวารเร้นลับมิอาจสร้างด้ายวิญญาณจากสิ่งที่ไม่เคยมีได้ แต่สามารถให้กำเนิดใหม่จากสสารที่เคยมีด้ายวิญญาณแต่หายไป ซึ่งวัตถุจำพวกโลหะอย่างเหรียญทอง ทองแท่ง หรืออื่นๆ อยู่ในหมวดแรก โดยที่ผลิตภัณฑ์จากสัตว์อย่างเนื้อวัว ปลา และอาหารจะอยู่ในหมวดหลัง – เมื่อมนุษย์กินอาหารที่กลายเป็นหุ่นเชิดเข้าไป เหยื่อก็จะถูกเปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิดเช่นกัน ลักษณะเดียวกับการถูกกัดกร่อนอย่างรุนแรง
ชนิดที่สองคือพลัง ‘ผนวกใหม่’ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘แผลง’ : สามารถนำวัตถุทางกายภาพ หรือแนวคิดเชิงนามธรรมหลายชนิดมา ‘ผนวกใหม่’ จนกลายเป็นผลลัพธ์อันน่าเหลือเชื่อ ประหนึ่งเป็นการ ‘แผลง’ นิยาม ตรรกะ ทิศทาง หรือกฎเกณฑ์ของสิ่งนั้นๆ
ชนิดที่สามคือพลัง ‘ดินแดนเร้นลับ’ : เป็นพลังในการสร้างอาณาจักรเทพเทียม มาพร้อมกับคุณสมบัติ ‘อำพราง’ ในระดับหนึ่ง
‘ผนวกใหม่’ มีอำนาจในขอบเขต ‘การเปลี่ยนแปลง’ ขณะที่ ‘ดินแดนเร้นลับ’ มีอำนาจในขอบเขต ‘ความลับ’ ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับสัญลักษณ์สองชนิดของเดอะฟูล… แต่คำว่า ‘ผนวกใหม่’ และ ‘แผลง’ ฟังดูไม่ตรงประเด็นสักเท่าไร ความหมายยังไม่ชัดเจน ไม่เหมือนกับ ‘ปลูกถ่าย’ ที่เห็นภาพได้ในทันที… ไคลน์พึมพำก่อนจะกวาดสายตาไปรอบตัว
ปัจจุบัน มันได้รับสิทธิ์ให้ควบคุมปราสาทต้นกำเนิดในเชิงลึก จึงสามารถยืมพลังเพื่อให้ตัวเองมีระดับเข้าใกล้ลำดับ 0 ของเส้นทางนักทำนาย นอกจากนั้นยังสามารถใช้พลังของลำดับ 0 จากเส้นทางนักจารกรรมและผู้ฝึกหัดได้เกือบทุกชนิด เรียกได้ว่าทัดเทียมเทวทูตมืดซาสเรียในอดีต
ต้องไม่ลืมว่า การใช้พลังจาก ‘ทะเลแห่งความโกลาหล’ ของซาสเรียเกิดขึ้นทางอ้อมผ่านศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่ง แต่ไคลน์ได้สิทธิ์ควบคุมปราสาทต้นกำเนิดในเชิงลึกโดยตรง แม้จะยังไม่ใช่การควบคุมโดยสมบูรณ์ แต่ก็มากพอที่จะทำให้ชายหนุ่มแข็งแกร่งกว่าซาสเรียในเชิงระดับตัวตน
ในแง่ความแข็งแกร่ง ไคลน์ควรจะแข็งแกร่งกว่าในทางทฤษฎี แต่ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มต้องพึ่งพาปัจจัยอื่นมากเกินไป และไคลน์ซึ่งเป็นผู้วิเศษได้เพียงไม่กี่ปี ย่อมไม่มั่นใจว่าจะตนจะเอาชนะอดีตรองประมุขสวรรค์และหัตถ์ซ้ายแห่งเทพรายนี้ได้
สรุปโดยสั้น ไคลน์ในปัจจุบันมีระดับทัดเทียมราชาในหมู่ราชาเทวทูต ใกล้เคียงกับเทพแท้จริงเต็มที
หลังจากได้สิทธิ์ควบคุมปราสาทต้นกำเนิดในเชิงลึก ดูเหมือนว่าช่องว่างระหว่างตัวเราบนนี้ กับตัวเราบนโลกภายนอกแทบไม่หลงเหลือ… ไม่ใช่การมีพลังทัดเทียมเทพแท้จริงบนปราสาทต้นกำเนิด แต่มีระดับเพียงราชาเทวทูตบนโลกความจริง… ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของปราสาทต้นกำเนิดในเวลานี้คือ ที่นี่มีบาเรียซึ่งแม้แต่เทพแท้จริงก็ยังมิอาจทำลาย… อา แต่เทพภายนอกจะทำได้ไหม เรื่องนั้นยังมิอาจประเมิน… ไคลน์หายใจออกเชื่องช้า หันเหความสนใจมายังสถานการณ์ปัจจุบัน
ตอนนี้มีสองสิ่งที่มันควรกังวลมากที่สุด ไอลีนโนเวล
ประการแรก ดวงจันทร์บรรพกาล หรืออีกชื่อหนึ่งคือมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม แม้ว่าพระองค์จะบุกรุกโลกความจริงผ่านมิสเตอร์ประตูล้มเหลว แต่พลังบางส่วนก็ยังเล็ดลอดเข้ามาสำเร็จ แถมยังคงอยู่ได้นานหลายวินาที ทั้งที่ถูกรุมกำราบจากห้าเทพแท้จริงอย่างรัตติกาลและจักรกลไอน้ำ สิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบมากแค่ไหน หรือส่งอิทธิพลต่อเส้นทางที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ปัจจุบันยังมิอาจทราบได้
ประการที่สอง เทวทูตกาลเวลาอามุนด์ทำการขโมยพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เทพของมิสเตอร์ประตูและกลายเป็น ‘ข้อผิดพลาด’ ลำดับ 0 แห่งเส้นทางนักจารกรรม ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชายคนนี้คือศัตรูโดยตรงที่ทรงพลังอันดับหนึ่งสำหรับไคลน์
เรายังมิอาจทราบได้ว่า อามุนด์สามารถปรองดองกับเอกลักษณ์และตะกอนพลังลำดับ 1 ของ ‘กุญแจดารา’ ได้หรือยัง เพราะหากประสบความสำเร็จแล้ว เกรงว่าอามุนด์คงเป็นเทพแท้จริงที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลก ณ ปัจจุบัน… อา แต่เราเองก็ไม่มั่นใจว่าเทพธิดารัตติกาลแข็งแกร่งในระดับใด ไม่มีใครทราบว่าพระองค์ปรองดองกับเอกลักษณ์ของเส้นทางมรณาและเทพสงครามไปถึงไหน…
แต่ในกรณีปรกติ อามุนด์คงยังไม่มีเวลาพอที่จะปรองดองกับเอกลักษณ์ของเส้นทางผู้ฝึกหัด แม้การกลับมาของมิสเตอร์ประตูจะเทียบเท่ากับพิธีกรรม แต่สิ่งที่อามุนด์ต้องให้ความสนใจมากที่สุดขณะแทนที่มิสเตอร์ประตู ยังคงเป็นการเพ่งสมาธิอยู่กับการหลอมรวมระหว่างเอกลักษณ์และตะกอนพลังสามก้อนของเส้นทางนักจารกรรม สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ คงไม่มีเวลาหันไปสนใจเอกลักษณ์ของเส้นทางผู้ฝึกหัด และการทำแบบนั้นก็ยังมีโอกาสสูงที่จะปลุกให้ ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดิน’ ลืมตาตื่น อามุนด์ไม่มีทางยอมเสี่ยง…
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เป้าหมายถัดไปของอามุนด์ก็คือการปรองดองกับเอกลักษณ์ของเส้นทางผู้ฝึกหัด กลายเป็นเทพแท้จริงของทั้งสองเส้นทาง ไม่อย่างนั้น ภายใต้สายตาของเหล่าเทพแท้จริงตนอื่น อามุนด์คงยากที่จะจัดการกับราชาแห่งราชาเทวทูตอย่างเรา…
นอกจากนั้น ต่อให้อามุนด์ยอมเสี่ยงและประสบความสำเร็จ จนปัจจุบันสามารถปรองดองกับเอกลักษณ์ของเส้นทางผู้ฝึกหัดได้สมบูรณ์ แต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการปรับตัวสักระยะเพื่อให้เข้ากับสภาพปัจจุบัน จึงไม่สามารถลงมือกับเราได้อีกสักพัก…
เราต้องฉวยโอกาสดังกล่าวในการก้าวขึ้นไปเป็นเดอะฟูล มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น เราจึงจะพึ่งพาพลังของปราสาทต้นกำเนิดและพลังส่วนตัวเพื่อรับมือกับอามุนด์ไหว
เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว… ไคลน์จิกกัดตัวเองเงียบงัน เอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ
มันพยายามวิเคราะห์ความเป็นไปได้ที่จะก้าวไปเป็นเดอะฟูลภายในระยะเวลาอันสั้น:
การย่อยโอสถบริวารเร้นลับไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อไคลน์สามารถสยบเจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชคด้วยหลักยึดเหนี่ยวและจิตใต้สำนึกของตัวเอง ป้องกันไม่ให้ตัวเองเสียสติหรือกลายเป็นคนอื่นสำเร็จ ชายหนุ่มสามารถใช้พลังของปราสาทต้นกำเนิด ยืมพลังของเส้นทางนักจารกรรมเพื่อสร้างร่างโคลนของตัวเองขึ้น เหมือนกับที่อามุนด์เคยทำ จากนั้นก็ให้ร่างโคลนดังกล่าว ระดมพลังของปราสาทต้นกำเนิดเพื่อขโมยตะกอนพลังบริวารเร้นลับของซาราธซึ่งยังไม่ย่อย ไปจากร่างหลัก
ถึงตรงนี้ ไคลน์จะรีบเปลี่ยนร่างโคลนดังกล่าวให้กลายเป็นหุ่นเชิดทันที ป้องกันการกลายพันธุ์คือเหตุไม่คาดฝัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ