เนื่องจากไม่ทราบว่าอามุนด์กำลังอยู่ในสถานะใด ไคลน์ไม่กล้าประวิงเวลา หลังจากแก้ไขปัญหาทางจิตได้เบื้องต้น ชายหนุ่มมุ่งหน้ามายังเมืองกัลเดรอนทันที เพื่อนำน้ำจากแม่น้ำอันธการนิรันดร์กลับไป
และเนื่องจากสิ่งนี้เกี่ยวพันกับแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด ผลการทำนายจึงมิอาจลงรายละเอียดในเชิงลึก ทำได้แค่เห็นนิมิตอย่างคลุมเครือ ยากจะตัดสินระดับความอันตรายได้แม่นยำ
เมื่อกวาดตาไปรอบตัว ไคลน์ยกมือขึ้น อัญเชิญภาพฉายในอดีตของตัวเองเมื่อไม่กี่นาทีก่อนออกมา และส่งร่างต้นกลับปราสาทต้นกำเนิด
จิตใต้สำนึกของชายหนุ่มถูกโอนถ่ายไปยังภาพฉายทันที ร่างดังกล่าวเริ่มขยับได้ราวกับมีชีวิต
ถัดมา ไคลน์จับคว้าความว่างเปล่า ดึงภาพฉายของไม้เท้าดวงดาวออกมา
ว่ากันตามตรง หลังจากไคลน์สามารถใช้พลังพิเศษลำดับ 0 ส่วนใหญ่ของเส้นทางผู้ฝึกหัดผ่านปราสาทต้นกำเนิด มันก็ไม่จำเป็นต้องถือสมบัติปิดผนึกระดับ 0 อย่างไม้เท้าดวงดาวอีก สามารถจำลองผลลัพธ์ได้โดยตรง และไม่ต้องเผชิญความเสี่ยงของผลข้างเคียง
อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มเชื่อเสมอว่าเทวทูตควรพกพาอาวุธประชิดติดตัว เพราะไม่มีทางทราบได้เลยว่า ตนจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่มิอาจใช้พลังพิเศษได้ตอนไหน
ในโลกแห่งศาสตร์เร้นลับ สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกฎของเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ หรือการแทรกแซงจากเทพภายนอกซึ่งสามารถสร้างผลลัพธ์ในแบบเดียวกัน
ดังนั้น การเลือกพกพาไม้เท้าแข็งๆ ซึ่งมีทักษะติดตัวเป็นการระเบิดร่างศัตรู ย่อมมีประสิทธิภาพในยามคับขัน
ในฐานะราชาเทวทูตแห่งเส้นทางนักทำนาย ไคลน์มีนิสัยชอบเตรียมความพร้อมตลอดเวลา!
หลังจากสัมผัสถึงน้ำหนักของไม้เท้าดวงดาวในมือ ชายหนุ่มกดหมวกทรงกึ่งสูงเหนือศีรษะ หยิบเครื่องประดับทองคำรูปนกออกจากปราสาทต้นกำเนิดและกลัดไว้ที่กระเป๋าเสื้อหน้าอกซ้าย
ถัดมา ไคลน์ก้าวไปข้างหน้าเพื่อเข้าเขตเมืองกัลเดรอน – อดีตอาณาจักรเทพของเทพมรณาโบราณ ต้นตระกูลฟีนิกซ์ เกรจารี
สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาชายหนุ่มคือหลุมลึกไร้ก้นขนาดยักษ์ ถัดมาเป็นอาคารรูปทรงประหลาด เรียงรายเวียนรอบหลุมลึกลงไปทีละชั้น ประกอบเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่ก้าวข้ามสามัญสำนึกของผู้คน
จากบรรดาอาคารเหล่านี้ บางหลังเป็นบ้านเดี่ยวที่สร้างบนต้นเสาหิน บางหลังมีลักษณะเหมือนโลงศพยาวขนาดใหญ่ ไม่มีหน้าต่าง ประตูเปิดจากหลังคา บางหลังเป็นหลุมศพ ทางเข้าอยู่ใต้ป้ายหลุมศพ บางหลังสร้างจากกระดูกนานาชนิด ดูรกและวุ่นวาย
ยิ่งใกล้ก้นหลุมมากเพียงใด อาคารก็ยิ่งมีสภาพดี และยิ่งอยู่ใกล้ด้านบน สภาพอาคารก็ยิ่งใกล้เคียงกับซากปรักหักพัง ผุกร่อนไปตามกาลเวลา
ไคลน์กวาดตามองพร้อมกับสร้างหมอกสีเทาอ่อนจางๆ ปกคลุมร่างกาย เป็นการอาศัยออร่าของปราสาทต้นกำเนิด เพื่อต่อต้านกฎของเมืองกัลเดรอนที่จะเปลี่ยนให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดกลายเป็นคนตาย
อันที่จริง การเป็นคนตายมิใช่ปัญหาใหญ่สำหรับไคลน์ เพียงแต่มันไม่ชอบความรู้สึกเย็นชาและไร้อารมณ์
“คลื่นน้ำสีเทาที่เคยเอ่อล้นในคราวก่อน ตอนนี้ลดระดับกลับลงไปแล้ว…” ไคลน์ซึ่งแต่งกายด้วยหมวกทรงกึ่งสูง เสื้อโคตกันลม และไม้เท้าดวงดาว พยักหน้ากับตัวเองอย่างครุ่นคิด ก่อนจะก้าวเข้าไปในส่วนลึกของกัลเดรอน ในจุดที่ตาเปล่ามองเห็น
คราวนี้เป็นการใช้พลังพิเศษของเส้นทางนักจารกรรม เพื่อขโมย ‘ระยะทาง’ ในขอบเขตการรับรู้ของตน ช่วยให้หลีกเลี่ยงการปะทะกับสัตว์ประหลาดที่ดำรงชีวิตภายในเมืองลึกลับแห่งนี้
ไคลน์มิได้ทำไปเพราะกลัว ฝ่ายที่ควรต้องกลัวคือสัตว์ประหลาดต่างหาก ถ้าไม่ใช่เพราะรีบทำเวลา ไคลน์คงเตร็ดเตร่สะสมหุ่นเชิดไปเรื่อยๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียที่เกิดกับยูโทเปีย
ด้วยเหตุผลข้างต้น ชายหนุ่มยังคำนึงถึงประเด็นอื่นโดยไม่ประมาท
กัลเดรอนคือเมืองแห่งความตาย ในส่วนลึกสุดของเมืองน่าจะมีแม่น้ำอันธการนิรันดร์ไหลเวียนอยู่ และในเชิงหลักการ หุ่นเชิดคือคนตาย หากเข้าใกล้กับเขตดังกล่าว มีโอกาสสูงที่พวกมันจะกลายพันธุ์
ยิ่งเดินเข้าไปลึกขึ้น ไคลน์พบว่าตนคิดมากเกินไป:
ไม่มีสัตว์ประหลาดตัวใดกล้าโผล่หน้ามาให้เห็น ดูเหมือนว่าออร่าของปราสาทต้นกำเนิดจะกระตุ้นให้พวกมันอยากมีชีวิตต่อไป มากกว่าจะทำตามสัญชาตญาณโดยการออกล่าเหยื่อ
ยิ่งลึกลงไปใต้ดินมากเพียงใด สภาพแวดล้อมรอบตัวไคลน์ก็ยิ่งเงียบสงัด อาคารประหลาดอาจยังมีสภาพดีอยู่ แต่ไคลน์กลับรู้สึกว่าพวกมันตายสนิทโดยสิ้นเชิง แม้แต่ออร่าก็ยังเย็นชืด หม่นหมอง และผุกร่อน
รู้สึกเหมือนกับกำลังดูหนังใบ้ขาวดำ… ถ้าไม่ได้ยินเสียงลมหายใจหรือหัวใจเต้น เราคงสงสัยว่าตัวเองหูหนวก… ไคลน์อาศัยการรำพันเพื่อเอาชนะความเงียบสงัดโดยสมบูรณ์
มันเชื่อโดยสัญชาตญาณว่า หากตนเคยชินกับสภาพแวดล้อมปัจจุบัน ร่างกายและจิตใจจะค่อยๆ สงบนิ่ง จนกระทั่งตายไปจริงๆ และมิอาจฟื้นฟูกลับเป็นปรกติ
ยิ่งเข้าใกล้เบื้องล่าง ความรู้สึกดังกล่าวก็ยิ่งรุนแรง
หลังจากขโมยระยะทางสลับกับเดินเท้าอย่างต่อเนื่อง ไคลน์เริ่มมองเห็นก้นบ่อ
ไม่สิ ไม่ใช่ก้นบ่อของจริง เป็นเพียงวังยักษ์อันดำมืดที่ตั้งกีดขวางเส้นทาง
วังดังกล่าวถูกค้ำจุนโดยต้นเสายักษ์ที่ฝังกระดูกและซากศพจำนวนมาก บางจุดถูกปกคลุมไปด้วยผิวหนังเปื้อนเลือดของเผ่าพันธุ์ต่างๆ
ไคลน์จ้องมองสักพักก่อนจะสลัดความลังเล ถือไม้เท้าดวงดาวเดินผ่านประตูที่เปิดอยู่เข้าไปในวัง
สองฝั่งห้องโถงเต็มไปด้วยโลงศพที่รูปร่างและสีสันแตกต่างออกไป แต่ละโลงนอนแน่นิ่งราวกับพวกมันก็ถูกความตายกัดกินไม่ต่างกัน
เมื่อไคลน์เดินเข้าไปใกล้ เสียงของบางสิ่งดังออกจากด้านในโลง คล้ายกับข้อต่อขึ้นสนิมกำลังขยับเขยื้อน
หมอกสีเทาอ่อนรอบตัวไคลน์ทวีความหนาแน่น ส่งผลให้โลงศพทั้งหมดกลับไปเงียบสงบอีกครั้ง Aileen-novel
ไคลน์ก้าวต่อไปโดยไม่สนใจโลงศพ จนกระทั่งถึงส่วนลึกของห้องโถงซึ่งมีบันไดหินสีเทาอ่อนลาดลง แผ่นหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่หน้าทางเข้า
ด้านบนสุดของแผ่นหินมีรูปปั้นทองแดงของนกยักษ์รูปร่างผอมเพรียว บนปีกเต็มไปด้วยสัญลักษณ์สีซีด
ใต้รูปปั้นนกทองแดง บนผิวแผ่นหินมีการสลัก ‘ภาษาแห่งความตาย’ ลักษณะของตัวอักษรคล้ายกับนกในท่าทางต่างๆ หรือไม่ก็งูที่ขดเป็นรูปร่างต่างออกไป ทั้งหมดประกอบกันเป็นประโยคความหมายกำกวม:
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ