เดอะมูน เอ็มลิน เค้นสมองนึกอยู่เป็นเวลานาน ว่าตนควรนำประวัติศาสตร์ของผีดูดเลือดในช่วงใดมาเล่าให้เดอะฟูลฟัง
ท่านและท่านบรรพชนเป็นสหายเก่าแก่…หมายความว่า ท่านย่อมทราบเหตุการณ์ก่อนยุคสมัยมหาภัยพิบัติ เราไม่จำเป็นต้องเล่าซ้ำ…
ระหว่างยุคสมัยที่สี่และห้าถึงแม้ความยิ่งใหญ่ของผีดูดเลือดจะยังไม่เลือนหายไปไหน และมีหลายสิ่งให้พูดถึง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าเหตุการณ์นั้นแล้ว…
เอ็มลินตัดสินใจได้
จากมุมมองของมัน เดอะฟูลคงเป็นเทพบรรพกาลสักตน ผู้ดำรงชีวิตมาตั้งแต่ก่อนยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ ด้วยเหตุผลบางประการ ท่านสามารถรอดพ้นจากการร่วงหล่น และคอยหลบซ่อนในเงามืดมาตลอด
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมประวัติศาสตร์อันซับซ้อนและยาวนานของตระกูลผีดูดเลือดจึงไม่มีการบันทึกรายละเอียดของเดอะฟูลไว้เลย เพิ่งจะมาได้ยิน ‘นามเต็ม’ อันสูงส่งของท่านเอาเมื่อไม่นานมานี้
หลังจากเรียบเรียงคำพูด เอ็มลินนั่งตัวตรง
“เมื่อถึงคราวสิ้นสุดยุคสมัยมหาภัยพิบัติ เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดตัดสินใจหลบออกจากฉากหน้าของประวัติศาสตร์ทวีปเหนือ และแฝงตัวปะปนกับมนุษย์เพื่อกลายเป็นขุนนางใหญ่ในหลายตระกูล บางรายสามารถเป็นผู้ครองเมืองหรือปราสาทใหญ่ในสมรภูมิสำคัญ เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งราชินีจันทราเลือด ออร์นิญ่า ผู้เคยนำพาพวกเราทุกคนหลุดพ้นจากยุคสมัยอันดำมืด ได้กลายเป็นภรรยาของจักรพรรดิรัตติกาลแห่งจักรวรรดิทรันซอสต์ เธอรวมผีดูดเลือดให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง พวกเรากลายเป็นกำลังรบสำคัญให้กับราชวงศ์ทรันซอสต์ โดย ณ เวลานั้น ออกัสตัสแห่งโลเอ็น และไอน์ฮอร์นแห่งฟุซัค ก็ยังเรียกขานราชินีของพวกเราว่า ‘ฝ่าบาท’ ในช่วงเวลาดังกล่าว ราชินีออร์นิญ่าคือสัญลักษณ์ของความเลอโฉม หากตอนนั้นมีกระจกวิเศษและถามว่า ‘ผู้ใดงามเลิศในปฐพี’ คำตอบจะต้องออกมาเป็นท่านอย่างไม่มีข้อกังขา…”
ยิ่งเอ็มลินเล่า สีหน้าแววตายิ่งเผยความตื่นเต้นยินดี อากัปกิริยาเปลี่ยนจากกังวลและเคร่งขรึม กลายเป็นผ่อนคลายและพูดคล่อง
กระจกวิเศษซึ่งสามารถตอบได้ทุกคำถาม?
หมายถึงอาโรเดส? จริงสิ ชักน่าสนใจว่า ถ้าจิตแห่งจักรกลเกิดตั้งคำถาม : ‘กระจกวิเศษเอ๋ย ช่วยบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี’ อาโรเดสจะมอบคำตอบเช่นไร…
ไคลน์นั่งในท่าเดิม สวมรอยยิ้ม และปล่อยให้ความคิดล่องลอย
หลังจากเล่ามานาน สีหน้าเอ็มลินเริ่มขึงขัง
“แต่ทั้งหมดก็พังครืนลงเมื่อสิ้นสุดสงครามสี่จักรพรรดิ จักรพรรดิรัตติกาลร่วงหล่นไปพร้อมกับราชินีออร์นิญ่า ตระกูลผีดูดเลือดได้รับความเสียหายใหญ่หลวง แต่ในทางกลับกัน ผู้กอบโกยผลประโยชน์สูงสุดในสงคราม ประกอบด้วยออกัสตัส ไอน์ฮอร์น เซารอน และกาสตีญ่า ได้แยกตัวออกจากจักรวรรดิทรันซอสต์พร้อมกับทำลายราชวงศ์ทรันซอสต์ซึ่งอ่อนแอลงมากหลังจากสูญเสียเหล่าเทวทูตไปมหาศาล เหล่าผีดูดเลือดจึงไม่มีทางเลือกนอกจากถอยเข้าไปหลบซ่อนตัวในภูเขาลึก เพื่อให้ตระกูลดำรงต่อไปได้”
ไม่ผิดคาด… ดูเหมือนเหล่าเทพจารีตกลายเป็นเทพมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่แล้ว หรืออย่างน้อยก็ในสงครามสี่จักรพรรดิ…
ไคลน์หวนนึกถึงหกเทวรูปภายในซากปรักหักพังของราชวงศ์ทูดอร์
“โชคยังดี ความสัมพันธ์ระหว่างเทพจารีตไม่ราบรื่นนัก สี่อาณาจักรใหญ่บนทวีปเหนือจึงรบราฆ่าฟันกันบ่อยครั้ง ส่งผลให้ตระกูลผีดูดเลือดของพวกเราเอาตัวรอดมาได้”
ในวินาทีนี้ เอ็มลินกำลังแสงสีหน้าตื่นเต้นอันหาได้ยาก
มันจ้องไคลน์และกล่าว
“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ทราบว่าท่านต้องการรับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับคุณงามความดีของราชินีจันทราโลหิต หรือยุคสมัยอันรุ่งโรงของตระกูลผีดูดเลือดหรือไม่ขอรับ ข้าเคยอ่านพบในบันทึกประวัติศาสตร์เล่มหนา และสามารถจดจำมันทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ”
หมอนี่คงนั่งเล่าได้ทั้งวัน… เราเคยคิดว่าเขาเป็นแวมไพร์บ้าฟิกเกอร์และไม่สนใจความเป็นไปของตระกูลเสียอีก ใครจะไปคิดว่า ความจริงแล้วกลับเพียบพร้อมไปด้วยข้อมูลเชิงลึกมากมาย… ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงทระนงตนมาตลอด ว่าผีดูดเลือดคือเผ่าพันธุ์อันสูงส่ง…
คงเป็นคนประเภทหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน และดำดิ่งไปกับความสนใจของตนโดยไม่แยแสโลกภายนอก ไม่เพียงเท่านั้น แวมไพร์ยังมีอายุยืนยาวกว่ามนุษย์ปรกติ…
ไคลน์ออกท่าทางลังเล ภายในใจกำลังนึกคำปฏิเสธอย่างสุภาพ
แม้ว่ามันจะชื่นชอบประวัติศาสตร์ แต่ก็มิได้ต้องการรับฟังข้อมูลทั้งหมดในคราวเดียวทีละมากๆ
“พอแล้ว” ไคลน์ยิ้ม “เราชอบการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม ดังนั้นในอนาคต เจ้าไม่ควรเล่าสิ่งใดส่งเดชโดยไม่มีผลตอบแทน
“ถ้าต้องการให้เราช่วยเหลือในสิ่งใด สามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวมาแลกเปลี่ยนได้”
“…ขอรับ” เอ็มลินทำหน้าเสียดาย
สำหรับมัน นี่คือโอกาสแสนหายาก กับการได้เล่าประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีเกียรติของผีดูดเลือดให้ใครสักคนฟัง!
ตามปรกติแล้ว เพื่อปกปิดตัวตน เอ็มลินไม่มีทางนำเรื่องนี้ไปอวดโอ่กับมนุษย์ และผีดูดเลือดด้วยกันก็คงไม่อยากฟัง เพราะทุกตนล้วนทราบประวัติศาสตร์พื้นฐานของตระกูลเป็นอย่างดี โอกาสเดียวคือการเล่าให้ผีดูดเลือดรุ่นใหม่ แต่เอ็มลินก็มิได้ถูกมอบหมายให้ดูแลเด็กใหม่อยู่ดี
ไคลน์ไม่สานต่อประเด็นเดิม เพียงกล่าวกลับไปเสียงขรึม
“วันนี้เจ้ากลับไปก่อน”
เมื่อสิ้นเสียง แสงสีแดงเข้มพลันสว่างวาบพร้อมกับโอบกอดร่างจิตของเอ็มลิน
หลังจากผ่านช่วงเวลามึนงง แวมไพร์หนุ่มพบว่าจิตของตนถูกส่งกลับมายังรถม้าอีกครั้ง
แต่ในความทรงจำกลับ ‘มองเห็น’ แผ่นกระดาษหนังมายา เขียนถึงขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมพันธสัญญาลับถึงเดอะฟูล
ไว้มีเวลาว่างในช่วงบ่าย เราค่อยประกอบพิธีกรรมถึงมิสเตอร์ฟูล เพื่อให้ท่านช่วยขจัดการชี้นำทางใจ…
เอ็มลินออกอาการตื่นเต้น
ต้องรอให้รถม้าเคลื่อนตัวไปถึงวิหารฤดูเก็บเกี่ยว จิตใจแวมไพร์หนุ่มจึงเริ่มจะกลับมาเป็นปรกติ
หลังจากย่างกรายเข้าไปในวิหาร มันรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นหลวงพ่อยูทรอฟสกี้กำลังนั่งสวดมนต์พร้อมกับสาวกอีกสามคน
ปัจจุบัน เอ็มลินมิได้เกิดอาการหวั่นวิตกเหมือนกับทุกทีอีกแล้ว เพียงกำลังครุ่นคิดบางสิ่งภายในใจ
เหตุใดหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ถึงไม่เคยขัดขวางเมื่อเราพยายามขจัดการชี้นำทางใจ…
เขากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่…
…
เขตตะวันออก ร้านกาแฟเรียบง่าย
ไคลน์ ผู้มาถึงตรงตามเวลานัดหมาย กำลังลิ้มรสขนมปังข้าวโอ๊ตพร้อมกับสตูแกะใส่ถั่วพลางรับฟังรายงานจากเฒ่าโคห์เลอร์
ค่อนข้างน่าเสียดาย สัปดาห์นี้ไม่มีข้อมูลใหม่น่าสนใจ
เมื่อโคห์เลอร์เล่าจบ ชายหนุ่มทำหน้านึกสักพัก ก่อนจะหยิบธนบัตรมูลค่ารวมสองปอนด์ออกมาวางบนโต๊ะ และเลื่อนไปหาเฒ่าโคห์เลอร์อีกฝ่าย
“ด…เดี๋ยวก่อน! คุณเพิ่งให้เงินผมมาเองไม่ใช่หรือ!” โคห์เลอร์ทำหน้าประหลาดใจพลางโบกไม้โบกมือปฏิเสธ
ไคลน์ยิ้ม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ